ราคาพลังงานพุ่ง FTI Poll เผยอุตสาหกรรมกระทบหนัก 38%

ราคาพลังงานพุ่ง FTI Poll เผยอุตสาหกรรมกระทบหนัก 38%

ส.อ.ท.เปิดผลสำรวจ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” พบมีผลกระทบปานกลางถึงมาก ผลักต้นทุนการผลิตและบริการสูงขึ้นตาม 88% วอนรัฐตรึงค่าไฟถึงสิ้นปี ส่งเสริมพลังงานหวุนเวียน และสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีประสิทภาพเพื่อประหยัดพลังงาน

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในระดับปานกลางถึงมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ดังนั้น จึงเสนอขอให้ภาครัฐช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 การปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 - 6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการรวมทั้ง ดำเนินนโยบายในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่านครอบคลุมผู้บริหารจาก45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้

1.ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับใด อันดับที่ 1: กระทบปานกลาง 49.3% อันดับที่ 2: กระทบมาก 38.0% อันดับที่ 3: กระทบน้อย 12.7%

2.ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันอันดับที่ 1: นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 76.7% อันดับที่ 2: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 68.7% อันดับที่ 3: ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า 53.3% อันดับที่ 4: อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาว 51.3% ในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก

3.ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจท่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ อันดับที่ 1: ต้นทุนด้านพลังงาน 10 – 20% คิดเป็น 46.0%อันดับที่ 2: ต้นทุนด้านพลังงานน้อยกว่า 10% คิดเป็น 24.0% อันดับที่ 3: ต้นทุนด้านพลังงาน30 – 50% คิดเป็น 20.0% อันดับที่ 4: ต้นทุนด้านพลังงานมากกว่า 50% คิดเป็น 10.0%

4.แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด อันดับที่ 1: ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น 88.0% อันดับที่ 2: ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น 84.0% อันดับที่ 3: เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน 34.0% อันดับที่ 4: ขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน 25.3%

ราคาพลังงานพุ่ง FTI Poll เผยอุตสาหกรรมกระทบหนัก 38% 5.ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1: ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี2564 มีสัดส่วน 66.0% อันดับที่ 2: ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 - 6 เดือน มีสัดส่วน 56.7% เพื่อลดภาระผู้ประกอบการ อันดับที่ 3: จัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุน เพื่อชดเชย 54.0% และตรึงราคาพลังงานทุกประเภท อันดับที่ 4: ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม 53.3% เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน LPG และ NGV

6. ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน อันดับที่ 1: ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 74.7% อันดับที่ 2: ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้ 72.7% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อันดับที่ 3: ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อน 64.0% อันดับที่ 4: ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 44.0%

7. ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ 77.3% เพื่อลดและประหยัดพลังงาน อันดับที่ 2: นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิต 73.3% และโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุน อันดับที่ 3: การใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือ ผลิตไฟฟ้าใช้เอง 71.3% เช่น Solar cell, Biogas, Biomass อันดับที่ 4 : สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงาน    59.3% อย่างประหยัด