Commerce Sector อีกหนึ่งมาตรการรัฐที่มุ่งสนับสนุนการบริโภค

Commerce Sector อีกหนึ่งมาตรการรัฐที่มุ่งสนับสนุนการบริโภค

เราคาดว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภค 5.46 หมื่นล้านบาทที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน downside ของการบริโภคในประเทศ

โดยเราคาดว่าการเปิดเมืองและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นจะมีบทบาทมากขึ้นในการสนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภค เราเลือก CPALL (ราคาเป้าหมาย 77 บาท) และ HMPRO (ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นของเราเนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น และราคาหุ้นยัง laggard

 

มาตรการกระตุ้นการบริโภคระลอกใหม่ใน 4Q21

คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติมอีก 5.46 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น

1.    8.1 พันล้านบาท (14.9%) สำหรับเป็นเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีก 300 บาท/คน/เดือน เป็นเวลาสองเดือนในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 ซึ่งมีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่ไม่เกิน 13.5 ล้านคน

2.   1.38 พันล้านบาท (2.5%) สำหรับเป็นเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับผู้ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (ผู้ป่วยติดเตียง / ผู้ที่ไม่ได้ใช้ smartphone / ผู้สูงอายุ) ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อีก 300 บาท/คน/เดือน เป็นเวลาสองเดือน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 ซึ่งคาดว่ามีผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มนี้ 2.3 ล้านคน

3.   4.2 หมื่นล้านบาท (77%) สำหรับมาตรการคนละครึ่งเฟสที่ 3 ซึ่งจะครอบคลุมถึงการซื้ออาหารผ่านช่องทาง delivery ด้วย 1,500 บาท/คน และ 150 บาท/วัน

 

 

 

4.   3 พันล้านบาท (5.5%) สำหรับการขยายมาตรการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ให้กับผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง โดยเพิ่มยอด E-voucher เป็นคนละ 1 หมื่นบาท จากเดิมคนละ 7,000 บาท ผ่าน G-wallet, E-Voucher ซึ่งจะได้รับภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป และจะหมดอายุภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ยอดใช้จ่ายทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน โดยยอดใช้จ่าย 1-40,000 บาทแรกจะได้รับ E-voucher 10% ของยอดใช้จ่าย หรือไม่เกิน 4,000 บาท ส่วนยอดใช้จ่ายระหว่าง 40,000-80,000 บาทจะได้รับ E-voucher 15% หรือไม่เกิน 6,000 บาท ซึ่งมีการจำกัดการใช้จ่ายเพื่อใช้คำนวณ E-voucher ตามมาตรการนี้ที่ 10,000 บาท/คน/วัน

 

อีกหนึ่งมาตรการที่จะช่วยสนับสนุนการบริโภค เราเลือก CPALL & HMPRO เป็นหุ้นเด่น

เราคิดว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ออกมาใหม่นี้จะคิดเป็น 1.3% และ 2.6% ของ GDP 4Q20 และ PCE ตามลำดับ และคิดเป็นไม่ถึง 1% สำหรับทั้งปี ถึงแม้ว่ามาตรการนี้จะสร้างสภาวะตลาดที่เป็นบวกให้กับกลุ่มค้าปลีก แต่เราเชื่อว่าจะช่วยจำกัด downside ของการใช้จ่ายเนื่องจากตลาดการจ้างงานอ่อนแอเท่านั้น ซึ่งการกำหนดเพดานการใช้จ่ายในโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้จะจำกัดผลดีที่จะเกิดกับการซื้อสินค้าที่มีราคาสูง ทั้งนี้ เราคาดว่าการเปิดเมือง และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของการบริโภค โดยเราเลือก CPALL (ราคาเป้าหมาย 77 บาท) และ HMPRO (ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท) เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้