“เอสซี แอสเสท”ปรับพอร์ตอสังหาฯ รับ Workation -คริปโตโนแมดมาแรง

“เอสซี แอสเสท”ปรับพอร์ตอสังหาฯ รับ Workation -คริปโตโนแมดมาแรง

“เอสซี แอสเสท” ปรับโหมดเตรียมตัวกลับสู่แผนการเติบโตมองไปข้างหน้ารับเทรนด์ “บ้านคือทุกสิ่ง”และ“ทำงานที่ไหนก็ได้ ”ด้วยการปรับพอร์ตคอนโด โรงแรมรองรับชาวต่างชาติที่เข้ามาWorkation และกลุ่มคริปโตโนแมดที่มีกำลังซื้อจากต่างชาติ -ยังก์เจนในเมืองไทย

 2 ปีหลังรอดจากพิษโควิด“เอสซี แอสเสท”มองไปข้างหน้าว่าในอีก 2 ปี หลังวิกฤติผ่านพ้น จะเป็นการเข้าสู่เฟสการเติบโตในปี 2566 ฉะนั้นระหว่างใน 2564-65 ยังอยู่ในเฟสของการเตรียมพร้อมรับเทรนด์ “บ้านคือทุกสิ่ง”และ“ทำงานที่ไหนก็ได้ ”ด้วยการปรับพอร์ตคอนโด โรงแรมเพื่อรองรับต่างชาติที่เข้ามา Workation และกลุ่มคริปโตโนแมดที่มีกำลังซื้อ

“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน ) กล่าวว่า 2 ปี ที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในวงการอสังหาฯ ยอดขายคอนโดและซัพพลายหายไป 2 ใน 3 ,กำลังซื้อลดลง แต่บ้านเดี่ยวดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนปีนี้ช่วงหลังจากโควิดระลอก 4 คลี่คลาย พบว่ายอดคอนโดเริ่มดีขึ้น และบ้านเดี่ยวราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปขายดี

และที่สำคัญเกิด 2 เทรนด์ที่เข้ามาสร้างมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจอสังหาฯ นั่นคือ การที่บ้านคือทุกสิ่ง (Home is Everything) และ การทำงานที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ทำให้จากเดิมการซื้อที่อยู่อาศัยจะให้ความสำคัญโลเคชั่น โลเคชั่นและโลเคชั่นแต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโลเคชั่น โลเคชั่นและสเปซ ส่งผลให้ตลาดบ้านเดี่ยวในช่วง 3 ปีนี้มาแรง!! 
 

ขณะเดียวกัน คอนโด ออฟฟิศและโรงแรม ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของสเปซมากขึ้น เพื่อรองรับกับ Work from Anywhere ถือเป็นโอกาสในการปรับพอร์ตตัวเองให้สามารถรองรับกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ล่าสุดเอสซีได้ปรับดีไซน์คอนโดเซ็นทริค สาทร-วงเวียนใหญ่ ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป และเลื่อนการเปิดตัวโครงการไปปีหน้า

จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ เอสซี แอสเสทหันมาโฟกัสตลาดแนวราบ หรือบ้านในทุกระดับราคาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากเกิดโควิด19  โดยได้อัพเกรดองค์กรให้พร้อมและก้าวสู่การทำงานวิถีไฮบริด เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย.นี้ ถือเป็นเฟส 2 ในการเตรียมความพร้อม 5 เรื่องเพื่อการเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนก่อนเข้าสู่เฟส 3 ในปี 2566

“เอสซี แอสเสท”ปรับพอร์ตอสังหาฯ รับ Workation -คริปโตโนแมดมาแรง

“ณัฐพงศ์” ระบุว่า 5 เรื่องสำคัญในการปรับตัวเพื่อรับโอกาสในการเปิดประเทศ เริ่มจาก1.สภาพคล่อง (Liquidity) มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีอัตราหนี้สินต่อทุน IBD/E ต่ำกว่า 1.3 เท่า 2. ซื้อที่ดินในปีนี้มีมูลค่า 10,000 ล้านบาทสูงสุดในรอบ 18 ปี สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการแนวราบในปี 2565-2567 จากปกติใช้งบซื้อที่ดินปีละไม่เกิน5,000 ล้านบาท  

3. พัฒนาสินค้า ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งคุณภาพ ความน่าเชื่อถือโดย ออกแบบและพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมโดยยึดหลักแนวคิดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Human-centric) อาทิ บ้านคนโสด, บ้านที่มีพื้นที่ Semi-Outdoor มุมพักผ่อนล่าสุดได้เปิดแบบบ้านใหม่สำหรับแกมเมอร์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโฮมออโตเมชั่น

  4. คนในองค์กรให้ได้รับความปลอดภัย โดยเตรียม บูสเตอร์วัคซีนเข็ม 3-4 ให้พนักงานและครอบครัว โดยจะเริ่มฉีดเข็ม 3 ภายใน ไตรมาส 4 ส่วนการฉีดวัคซีนกลุ่มแรงงานเข็มแรกครบ 100% และเข็ม 2 ปัจจุบัน อยู่ที่ 70% และการทำงานแบบไฮบริด และ 5.การใช้เทคโนโลยี เพื่อความคล่องตัว รวดเร็ว แม่นยำในการทำงาน

“เอสซี แอสเสท”ปรับพอร์ตอสังหาฯ รับ Workation -คริปโตโนแมดมาแรง

“ณัฐพงศ์ ” กล่าวว่า ในส่วนของตลอดคอนโดบริษัทให้ความสำคัญกับโครงการระดับราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งบริษัทมีอยู่คิดเป็นสัดส่วน 70-80% ที่สามารถรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ โดยเฉพาะหลังจากเปิดประเทศจะมีกลุ่มคนต่างประเทศที่เข้ามา แต่หลังจาก 3 ปีนี้อาจทำราคาคอนโดลดลงต่ำกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. ออกมาขยายฐานลูกค้าแต่ไม่ถึงระดับราคา1-2ล้านบาทต่อยูนิต

 

 ขณะเดียวกันในกลุ่มโรงแรมชะลอการเปิดโรงแรมแห่งแรกในกรุงเทพฯ ทำเล ราชวัตร, รัชดาภิเษก เพื่อรอเปิดประเทศ คาดว่าจะเปิดตัวได้ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า โดยปรับรูปแบบห้อง ระบบเสียงและแสง เพื่อรองรับกับคนต่างชาติที่เข้ามา Workation ในกรุงเทพฯ ส่วนพัทยา จะเปิดปี 2566 

"เรามีแผนลงทุนหาโครงการอสังหาฯ เข้ามาเพิ่มรายได้ประจำ (recurring income) ในอนาคตทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการซื้อหรือร่วมทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีงบลงทุนปีละ 2,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอสังหาฯที่รายได้ประจำมีสัดส่วนประมาณ 20% คาดว่าภายใน7ปีเพิ่มเป็น 1 ใน 3"

นอกจากนั้นปลายปีนี้จะเปิดรับคริปโตชำระแทนเงินสดในการซื้อคอนโด โดยมองว่า คริปโตเป็นโอกาสไม่ใช่กิมมิก เนื่องจากกลุ่มคนถือสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตเร็วมากทั้งในประเทศไทยและเป็นเทรนด์ของโลก แม้ว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีการซื้อขายต่อวันแค่ 3,000-4,000 ล้านบาท แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มยังก์เจนที่มีกำลังซื้อที่พร้อมลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยจะรับสกุลที่มีความเสถียรอย่าง บิทคอยน์และอีก2สกุลก่อนเพื่อลดความเสี่ยงเพราะบางสกุลมีความผันผวนสูง