พาณิชย์ ยุติใช้มาตรการเซฟการ์ด “ฟอยล์อลูมิเนียม”

พาณิชย์ ยุติใช้มาตรการเซฟการ์ด “ฟอยล์อลูมิเนียม”

พาณิชย์ ยุติใช้มาตรการเซฟการ์ด “ฟอยล์อลูมิเนียม” ที่นำเข้า หลังพบ การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ผลิตของไทย 2 ราย เหตุผลิตไม่พอใช้จนต้องนำเข้าอยู่แล้ว ทำผู้ใช้เฮ! ต้นทุนไม่เพิ่ม และไม่ต้องปรับขึ้นราคาสินค้าจนกระทบผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ถึงความคืบหน้ากรณีที่กระทรวงพาณิชย์เปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการเซฟการ์ด (ปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น) ในสินค้าฟอยล์อลูมิเนียมว่า เมื่อเดือนส.ค.64 คณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้องตามพ.ร.บ.มาตรการปกป้องจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้นพ.ศ.2550 ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีคำวินิจฉัยชั้นที่สุดว่า การนำเข้าสินค้าดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น ไม่พบความเสียหายที่เกิดแก่อุตสาหกรรมภายในของไทย และเห็นควรให้ยุติการพิจารณากำหนดมาตรการปกป้องตามมาตรา 24 พ.ร.บ.มาตรการปกป้องฯ โดยมีผลนับตั้งแต่วันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 3 ก.ย.64 เป็นต้นไป หรือมีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.64  

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เปิดไต่สวน เพื่อใช้มาตรการเซฟการ์ด ปกป้องอุตสาหกรรมภายในของไทยไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นของสินค้าฟอยล์อลูมิเนียม (ที่ไม่มีวัสดุรองรับ ซึ่งความหนาไม่เกิน 0.2 มิลลิเมตร โดยไม่ได้ทำมากกว่าการรีด และที่ทำมากกว่ารีด ซึ่งรวมถึง การเคลือบสี เคมี หรือพิมพ์) ตามคำขอของบริษัท วโรปกรณ์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท นิคเคสยามอลูมิเนียม จำกัด ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของไทยมาตั้งแต่กลางปี 63  

โดยข้อมูลในคำขอ ระบุ ไทยนำเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 58 และปี 61 นำเข้า 94,735 ตัน เพิ่มขึ้น 21.61% จากปี 60 ส่วนช่วงเดือนม.ค.-ก.ย.62 นำเข้า 82,092 ตัน เพิ่มขึ้น 16.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 61 ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตทั้ง 2 รายของไทย โดยทำให้ยอดขาย ปริมาณการผลิต การใช้กำลังการผลิตที่แท้จริง กำไร การจ้างงาน ลดลง และมีภาวะขาดทุนเพิ่มขึ้น  

อย่างไรก็ตาม จากการไต่สวน พบว่า ไทยยังจำเป็นต้องนำเข้า เพราะผู้ผลิตในประเทศที่มีเพียง 2 ราย ผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยมีกำลังการผลิตไม่เกินปีละ 40,000 ตัน แต่มีความต้องการใช้สูงถึงกว่า 100,00 ตัน อีกทั้งผู้ผลิตในประเทศ ผลิตไม่ได้ตามสเป็คที่ผู้ใช้ต้องการ จึงต้องนำเข้า หากใช้มาตรการเซฟการ์ดโดยการเก็บภาษีเซฟการ์ด จะทำให้ผู้ใช้ได้รับผลกระทบ จนอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้า และผู้บริโภคได้รับกระทบตามไปด้วย 

สำหรับการยุติการใช้เซฟการ์ดครั้งนี้ จะส่งผลให้ผู้ใช้ฟอยล์อลูมิเนียม ไม่ต้องมีต้นทุนสูงขึ้น เพราะไม่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีเซฟการ์ดในสินค้านำเข้า ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศดีขึ้น และผู้บริโภคในประเทศไม่ต้องซื้อสินค้าแพงขึ้น โดยอุตสาหกรรมผู้ใช้ที่จะได้รับผลดี มีทั้ง บรรจุภัณฑ์ ฝาปิดขวด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น อะไหล่รถยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคล ของใช้ในครัวเรือน ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์และอื่นๆ เป็นต้น