6 เหตุผลที่ควร..ทนอีกนิด แล้วจะไม่ “สู่ขิต!”

6 เหตุผลที่ควร..ทนอีกนิด แล้วจะไม่ “สู่ขิต!”

เปิด 6 เหตุผล... เชื่อว่า ชีวิตส่วนตัวแต่ละคนและเจ้าของธุรกิจทุกขนาด ได้รับ “วัคซีนมาเต็มๆ” พอสมควรแล้วที่ทำให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งถอดใจ ใช้ความยากลำบากในช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้

ถ้าจำกันได้ ผมเคยเขียนเมื่อหลายตอนที่ผ่านมาว่า ธุรกิจใดที่ปรับตัว หรือ “อึด” พอให้ผ่านปีนี้ไปได้ นอกจากจะรอดได้ในปีหน้าแล้ว วิกฤติที่ผ่านมาจะเป็น “วัคซีน” ทำให้ธุรกิจอยู่อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ธุรกิจขนาดใหญ่ของภาคเอกชนที่มีกำลังเงินหนาๆ มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งไม่น่าเป็นห่วง ธุรกิจขนาดกลางที่ไม่มีหนี้สินมากและมีเงินสดหมุนเวียนก็ยังพอไปได้ ส่วนธุรกิจขนาดเล็กที่มีหนี้สินหรือเงินทุนหมุนเวียนน้อยอาจจะเหนื่อยหน่อย

เหตุผลที่คิดว่าถ้าทนให้ถึงสิ้นปีนี้ได้จะไม่ “สู่ขิต” (ล้มหาย ตายจาก) ก็เพราะ...

1. แนวโน้มสถานการณ์ของโควิดในประเทศเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน

คำว่าดีขึ้นไม่ได้หมายถึงเหลือตัวเลขผู้ติดเชื่อแค่หลักร้อยหลักพันนิดๆต่อวัน แต่ดีขึ้นหมายถึงตัวเลขไม่มากเท่าหลักวันละเกือบสองหมื่นรายเหมือนในเดือนที่ผ่านๆ มา เมื่อแนวโน้มเริ่มดีขึ้นมาบ้าง..

2. ภาครัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการ ส่งผลให้ “กิจกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัวของแต่ละคน” และ “กิจกรรมการตลาด” ของภาคธุรกิจในแต่ละสินค้า-บริการต่างทยอยออกมากระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

เพราะธรรมชาติของธุรกิจทุกขนาด ไม่สามารถอยู่นิ่งโดยไม่ทำอะไร แต่ละธุรกิจต่างก็พยายามปรับตัวหรือเคลื่อนไหวเพื่อให้มีกิจกรรมการติดต่อกับลูกค้าในรูปแบบต่างๆ บ้างก็เป็นแบบเดิม บ้างก็ผสมผสานรูปแบบการติดต่อแบบเดิมกับแบบใหม่ทาง Online

3. ธรรมชาติของคน ต้องกินต้องจับจ่าย และมีจำนวนไม่น้อยที่ยัง “คุ้นชิน” รวมไปถึง “โหยหาวิถีชีวิตแบบเดิม” ถึงแม้แต่ละคนก็ยังกังวลกับการติดเชื้อ แต่เนื่องจากส่วนมากก็อัดอั้นกันมานาน ใช้ชีวิตกินและช้อปผ่านทาง ออนไลน์กันมานานหลายเดือน ทำให้หลายๆคนเริ่มคันมือคันเท้าอยากออกไปข้างนอก เพราะคันปากอยากไปเม้าท์กับเพื่อนฝูงหรือญาติมิตรแบบเจอหน้าเจอตา ในร้านอาหารในร้านกาแฟ เพราะเบื่อกับการเม้าท์ผ่านหน้าจอมือถือหน้าจอ Computer ผ่าน zoom หรือโปรแกรมต่างๆแล้ว

4. เจ้าของธุรกิจและชีวิตส่วนตัวของทุกๆ คนเมื่อ “อึด ถึก ทน” มาจนถึงวันนี้ได้ ก็เริ่ม “ชินและปรับตัว” ให้อยู่ร่วมกับสถานการณ์การระบาดในแต่ละวันได้อย่างไม่สะทกสะท้าน (เหมือนกับได้รับ วัคซีนทางใจกันมาเรียบร้อยว่า คงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าช่วงที่ผ่านมา หรือต่อให้สถานการณ์กลับมาเลวร้ายอีกก็รู้ว่าต้องทำยังไงให้ทนให้ผ่านไปให้ได้อีกครั้ง)

5.ภาครัฐก็พยายามกระตุ้นพยามยามช่วยเหลือโดยออกมาตรการเยียวยาอย่างต่อเนื่อง (นอกจากจะช่วยเหลือภาคประชาชนแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือตัวเองของภาครัฐไปด้วย เป็นการหาเสียงล่วงหน้าไปในตัวเพราะสถานการณ์ทางการเมืองของภาครัฐในเวลานี้ อึมครึม เชือดเฉือน ขบเหลี่ยมกันเองภายในของพรรคพลังประชารัฐของสามลุงนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งกันในเร็วๆนี้หรืออย่างช้าในปีหน้าหรือไม่)

การกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยจากมาตรการเยียวยาของภาครัฐที่ยิงมาเป็นชุดต่อเนื่องในช่วงนี้จะมากจะน้อยก็จะช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยให้มีความคึกคักมาบ้าง และภาครัฐต้องแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาเรื่องน้ำท่วมในต่างจังหวัดหลายจังหวัดอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นนอกจากจะเกิดความเดือดร้อนอย่างหนักกับประชาชนแล้วกำลังซื้อของจังหวัดเหล่านี้ก็จะชะงัก

ในส่วนของภาคการเงิน ธนาคารทั้งหลายต่างก็พยายามหาวิธีการช่วยลูกค้าที่เป็นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อให้รอดไปด้วยกัน

6. ไตรมาสสุดท้ายของปี ถ้าเป็นช่วงปกติก่อนมีโควิด ภาคธุรกิจจะคึกคักมาก เป็นช่วงเวลาของสีสันและการแข่งขันแย่งชิงเม็ดเงินในกระเป๋าของผู้บริโภคเพื่อปิดยอดขายสิ้นปีให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ถึงแม้ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะไม่เหมือนเดิม เพราะสถานการณ์ของโควิด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะเงียบหรือนิ่งสนิทไม่มีการเคลื่อนไหว ธุรกิจที่ยังอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน จะอาศัยไตรมาสสุดท้ายนี้แหละ เป็นแรงเหวี่ยงเพื่อสร้างโมเมนตั้มให้ธุรกิจของตนเองมาอยู่ในทางเลือกต้นๆของลูกค้า ด้วยสารพัดกลยุทธ์ ทั้งกลยุทธ์แบบไม่คิดมากคือลดแลก แจกแถม (ที่ไม่ต้องใช้ความพยายามในการคิดเท่าไหร่) หรือกลยุทธ์อื่นๆ เช่น ปรับ เพิ่มสินค้า-บริการแบบใหม่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบันของกลุ่มเป้าหมาย หรือการเพิ่มมูลค่าสินค้าเดิมเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆให้ลูกค้าประทับใจ

และมีหลายๆธุรกิจที่เตรียมความพร้อมในเรื่องคน มีการฝึกฝนพัฒนา ถึงแม้แนวทางการเรียนรู้การฝึกฝนจะผ่านทาง Online ที่แตกต่างไปจากเดิม แต่ก็ดีกว่าหยุดนิ่ง เพื่อเตรียมคนเตรียมทีมมาลุยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้และต่อยอดไปจนถึงต้นปีหน้า

ด้วย 6 เหตุผลนี้... ผมยังมีความเชื่อว่า ชีวิตส่วนตัวแต่ละคนและเจ้าของธุรกิจทุกขนาด ได้รับ “วัคซีนมาเต็มๆ” พอสมควรแล้วที่ทำให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งถอดใจ ใช้ความยากลำบากในช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้ หล่อหลอมตนเองและทีมงาน เรียนรู้จากวิกฤติ เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลง

ถึงแม้ธุรกิจของท่าน อาจไม่ “ปัง” ไม่ “ต๊าซ” (รุ่งโรจน์ โดดเด่น) เหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ “ปังปิ๊นาศ” (ล่มสลาย) และยังไม่ “สู่ขิต” (ล้มหายตายจาก) อยู่มาถึงวันนี้ได้ ทำไมจะอยู่ให้ถึงวันต่อๆ ไปที่ยังมีหนทาง มีโอกาสรออยู่ข้างหน้าไม่ได้ จริงมั๊ยครับ!?