สทท.เจาะเศรษฐีใหม่อินเดีย กู้รายได้เที่ยวไทยแทนตลาดจีน!

สทท.เจาะเศรษฐีใหม่อินเดีย  กู้รายได้เที่ยวไทยแทนตลาดจีน!

ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ตลาด “นักท่องเที่ยวอินเดีย” ทวีความร้อนแรงอย่างยิ่งเมื่อปี 2562 ทะยานติด 3 อันดับแรกของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย! ด้วยจำนวน 1.96 ล้านคน เติบโตสูงถึง 25.48% เมื่อเทียบกับปีก่อน ครองสัดส่วน 4.91%

เป็นรองตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งมีจำนวน 11 ล้านคน ครองบัลลังก์อันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 27.91% และตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซีย 4.27 ล้านคน ครองสัดส่วน 10.71%

สมทรง สัจจาภิมุข รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และรองประธานหอการค้าอินเดีย-ไทย กล่าวว่า ในยุคโควิด-19 หนึ่งในความหวังของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยคือการดึง “นักท่องเที่ยวอินเดีย” เดินทางเข้ามาจับจ่าย ช่วยกอบกู้รายได้ท่องเที่ยวไทยในช่วงที่รัฐบาลจีนยังไม่มีนโยบายอนุญาตให้ “นักท่องเที่ยวจีน” เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งเมื่อประเมินจากสถานการณ์แล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นภายในเดือน ก.พ.2565

หากย้อนไปยังช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าชาวอินเดียเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยยังน้อยเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจีน โดยทางธนาคารโลก (World Bank) ประมาณการณ์ว่าในปี 2573 จะมีนักท่องเที่ยวอินเดียเดินทางออกนอกประเทศ 83 ล้านคน เพิ่มจาก 24 ล้านคนเมื่อปี 2560 ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางออกนอกประเทศ 793 ล้านคนในปี 2573 เพิ่มจาก 143 ล้านคนเมื่อปี 2560

นอกจากนี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดการณ์ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียจะยังไม่สามารถทดแทนนักท่องเที่ยวจีนได้ แม้ว่าในช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 ประเทศจีนจะเผชิญปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯเคยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยไต่ระดับด้วยความเร่งของอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20% ต่อปี แตะ 14 ล้านคนในปี 2573 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ทะลุ 21 ล้านคนในปีเดียวกัน

“อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียมีศักยภาพสูงมาก ด้วยฐานประชากรอายุน้อยกว่า 29 ปีที่มีมากถึง 600-700 ล้านคน จะขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต นอกจากนี้ประเทศอินเดียยังมีความเจริญด้านไอทีสูงมาก มีเศรษฐีเกิดใหม่ขึ้นมาก กำลังทรัพย์สูง โดยเฉพาะเมืองทางตอนใต้ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านไอที”

สมทรง เล่าเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยสามารถเจาะตลาดศักยภาพอย่าง “กลุ่มจัดทริปประชุมและท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล” (MI : Meeting & Incentive) ซึ่งครองสัดส่วน 10% ของตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยทั้งหมด เดินทางเป็นคณะกว่า 800 คน และนิยมเดินทางซ้ำ มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป 76,000 บาท เน้นซื้อของแบรนด์เนมและพักโรงแรมหรู บางกลุ่มนิยมเที่ยวสถานบันเทิง โดยเฉพาะในพัทยา

“บริษัทหลายแห่งในอินเดียนิยมซื้อใจพนักงานโดยจัดประชุมหรือจัดทริปเที่ยวต่างประเทศ โดยคู่แข่งหลักของไทยคือดูไบและสิงคโปร์ จากความพร้อมด้านสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และโครงสร้างพื้นฐานที่ดี”

อีกตลาดที่มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูงคือ “กลุ่มแต่งงาน” ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป ครองสัดส่วน 5% ของตลาดอินเดียเที่ยวไทย โดยในปีปกติมีเศรษฐีอินเดียแต่งงานในไทยปีละกว่า 300 คู่!! ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 200 คนต่องาน ค่าใช้จ่ายต่องานอยู่ที่ 10-120 ล้านบาท จัดในโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวและเข้ามาเที่ยวทั้งก่อนและหลังวันแต่งงาน

“การแต่งงานของชาวอินเดียยังเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นในสังคมอินเดีย นิยมจัดงานแบบหรูหราเพื่อแสดงฐานะครอบครัว โดยประเทศไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางในฝันด้านการแต่งงาน (Dream Wedding Destination) ทั้งเรื่องด้านบริการและค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตามพบว่ารายได้กระจุกตัวกับโรงแรมเพียง 15 แห่งเท่านั้น”

ด้านนักท่องเที่ยว “กลุ่มพักผ่อน” ซึ่งครองสัดส่วน 85% ของตลาดอินเดียเที่ยวไทย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล (อายุ 25-35 ปี) มาเที่ยวแบบกลุ่มเพื่อน ครอบครัว และคู่รัก ค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปยังไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 27,000 บาท เพราะรายได้ยังน้อย บางกลุ่มนิยมกู้ยืมเงินเพื่อการท่องเที่ยว

โดยในช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 พบว่ามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VOA)  ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เนื่องจากต้นทุนการมาเที่ยวไทยไม่แพง บางกลุ่มใช้ VOA เป็นหนังสืออ้างอิงสำหรับการขอวีซ่าไปยังประเทศอื่น ขณะที่นักท่องเที่ยวคู่รักหรือคู่ฮันนีมูน เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจเพราะมีกำลังซื้อสูงและใช้เวลาท่องเที่ยวหลายวัน

แม้รัฐบาลจะตั้งเป้าเปิดประเทศด้วยการเปิดเมืองนำร่องเพิ่มขึ้นภายในเดือน พ.ย.นี้ แต่ไม่สามารถทำตลาดดึงนักท่องเที่ยวอินเดียมาเที่ยวไทยได้ทันช่วงเทศกาลดิวาลี (Diwali) หรือเทศกาลปีใหม่ของชาวอินเดีย วันที่ 4 พ.ย.นี้ซึ่งหยุดยาวเป็นสัปดาห์ ทำให้ภาคท่องเที่ยวไทยไม่ได้อานิสงส์จากตลาดอินเดียเที่ยวต่างประเทศในช่วงเทศกาลดิวาลีปีนี้