ดีเดย์! เปิดโรงหนังฟื้นชีพ หุ้นเมเจอร์’

ดีเดย์! เปิดโรงหนังฟื้นชีพ หุ้นเมเจอร์’

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การฉีดวัคซีนยังเดินหน้าตามแผน ทำให้ ศบค. ตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มเพิ่มเติม ด้วยการเลื่อนเวลาเคอร์ฟิวออกไป 1 ชั่วโมง จาก 3 ทุ่ม ถึง ตี 4 เป็น 4 ทุ่ม ถึง ตี 4

ลดวันกักตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย พร้อมเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวอีก 10 จังหวัด รวมทั้งผ่อนคลายกิจการกิจกรรมต่างๆ เพิ่มเติมอีก 9 กิจการ ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม เริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 ต.ค.)

โดย “โรงภาพยนตร์” เป็นหนึ่งในกิจการที่ได้รับไฟเขียวให้กลับมาเปิดบริการอีกครั้ง หลังถูกปิดมานานกว่า 5 เดือน ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเม.ย. ที่เกิดการระบาดรอบใหม่และมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม การเปิดกิจการรอบนี้อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมเข้มงวดขั้นสูงสุด COVID Free Setting เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำรอยเดิม โดย โรงหนังจะเปิดให้บริการได้ถึง 3 ทุ่ม และจำกัดผู้ชมแค่ 50% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด โดยต้องนั่งที่เว้นที่ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และห้ามรับประทานอาหารระหว่างรับชมภาพยนตร์

การเปิดโรงหนังถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการอย่างบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR เชื่อว่าบรรยากาศจะเริ่มกลับมาคึกคักขึ้น แม้ว่ายังมีข้อจำกัดในการให้บริการอยู่บ้าง แต่หลายคนเฝ้ารออยากกลับมาเสพบรรยากาศในโรงหนังเนื่องจากได้อรรถรสมากกว่าการรับชมที่บ้าน

หนุนผลประกอบการ MAJOR ในช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ลุ้นพลิกมีกำไร โดยช่วงปลายปีจะมีหนังฟอร์มยักษ์เตรียมเข้าโรงให้แฟนๆ ชาวไทยได้ดูอีกเพียบ

ทั้งหนังฮอลลีวูดที่ฉายในต่างประเทศไปแล้วก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เริ่มมีการเปิดเมืองในสหรัฐฯ เช่น Fast & Furious 9, Black Widow, The Suicide Squad 2, Jungle Cruise และ Shang-Chi and The Legend of The Ten Rings ที่โกยรายได้อย่างถล่มทลาย ติดอันดับ 1 Box Office

นอกจากนี้ ยังมีหนังใหม่ที่เตรียมลงโรงฉายอีกหลายเรื่อง เช่น No Time to Die ซึ่งถือเป็นการอำลาบทสายลับ “เจมส์ บอนด์ 007” ของ “แดเนียล เครก”, Dune, Spider-man : No way Home

ส่วนหนังไทยมีหลายเรื่องเช่นกันที่จ่อลงโรงส่งท้ายปี เช่น ร่างทรง, ส้มป่อย ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด, มนต์รักวัวชน, อโยธยา มหาละลวย, หอแต๋วแตกแหกโควิด เป็นต้น

การกลับมาเปิดบริการรอบนี้หวังว่าจะช่วยปลุกให้ MAJOR ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง หลังถูกพิษโควิดเล่นงานจนขาดทุนต่อเนื่องมาแล้ว 6 ไตรมาส (ไตรมาส 1 ปี 2563 –ไตรมาส 2 ปี 2564)

โดยปี 2563 บริษัทขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาโลดแล่นในตลาดหลักทรัพย์ 527.49 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรก ปี 2564 ยังขาดทุนอยู่ 338.14 ล้านบาท แม้ที่ผ่านมาจะพยายามปรับกระบวนทัพ งัดทุกกลยุทธ์ออกมาสู้ ด้วยการหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาช่วยกระจายความเสี่ยง และชดเชยรายได้จากโรงหนังที่ถูกปิด

ทั้งการขยับมาเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ด้วยการจับมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมทุนสร้างหนังไทย และยังส่งไปฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่กำลังมาแรง ถือเป็นการเติมเต็มธุรกิจให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ

ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีสินค้าเรือธงอย่าง “ป๊อปคอร์น” ซึ่งแต่ละปีโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำ ก่อนโควิดปี 2562 ทำยอดขายได้กว่า 2 พันล้านบาท แต่เมื่อเกิดโรคระบาดต้องปรับตัวหันมาขายผ่านบริการเดลิเวอรี่ นำไปขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ตามงานอีเวนท์ นอกจากนี้ยังเปิดให้เช่าโรงหนังเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้มีสภาพคล่องเข้ามาบ้าง

ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2564 ผลประกอบการปกติยังคงขาดทุนแน่นอน เพราะปิดโรงหนังทั้งไตรมาส แต่จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF ที่ถืออยู่ทั้งหมด 30.36% ให้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN

ซึ่งวันนี้ MAJOR ยืนยันพร้อม 100% ที่จะกลับมาเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ พนักงานทุกคนฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว และต้องตรวจ ATK ก่อนเริ่มงาน มีการตรวจวัดอุณหภูมิและล้างมือด้วยแอลกอฮลล์ก่อนใช้บริการ ในโรงหนังจะจัดที่นั่งเว้นระยะห่าง 2 ที่นั่ง เว้น 2 ที่นั่ง ระหว่างแถวจัดที่นั่งแบบสลับฟันปลา

มีการอบโอโซนในโรงหนังทั้งก่อนและหลังบริการ พร้อมทั้งปรับเป็นโรงภาพยนตร์แบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ นำร่องให้บริการซื้อและชำระค่าบัตรชมภาพยนตร์แบบไร้เงินสดทุกสาขาในกทม.และปริมณฑล ตั้งแต่เดือนต.ค.นี้เป็นต้นไป