LALIN กำไรสุทธิ 1H64 คิดเป็น 53% ของประมาณการปี 64 หนุนทั้งปีโตตามคาด

LALIN กำไรสุทธิ 1H64 คิดเป็น 53% ของประมาณการปี 64 หนุนทั้งปีโตตามคาด

กำไรงวด 2Q64 เติบโต 10%QoQ แต่ลดลง 11%YoY : งวด 2Q64 บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.4%YoY และเติบโต 9.7%QoQ

และมีกำไรสุทธิ 352 ล้านบาท ขยายตัว 10%QoQ แต่ลดลง 11%YoY โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 39% ทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ  ยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 32%  อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้จากการขายที่ระดับ 9.3% ทรงตัวทั้ง YoY และ QoQ อัตรากำไรสุทธิ 21.1% ปรับตัวลดลงจากระดับ 30.4% ใน2Q63 แต่ทรงตัวจาก 1Q64  กำไรสุทธิที่ลดลง 11%YoY เกิดจากใน 2Q63 มีรายการพิเศษจากการถูกเวนคืนจำนวน 156 ลบ. ซึ่งกำไรปกติเติบโตถึง 46%YoY ด้านฐานะการเงินยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เท่ากับ 0.64 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมที่ระดับ 1.25 เท่า กำไร 1H64 คิดเป็น 53% ของประมาณการกำไรทั้งปี 64 ที่เท่ากับ 1,266 ล้านบาท

-   8M64 เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการตามแผน : ในปัจจุบันบริษัทเน้นโครงการแนวราบที่เป็น Real Demand และเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ เช่นโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดแบรนด์ “Lanceo” ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนทาวน์
โฮมชื่อแบรนด์ “Lio” ระดับราคา 2 ล้านบาท โดยปี 64 บริษัทตั้งเป้ามียอดขายโครงการ 7,000 ล้านบาทและคาดยอดโอนที่จะรับรู้เป็นรายได้ราว 6,000 ล้านบาท  โครงการใหม่ที่เปิดในช่วง 8 เดือนแรกของปี 64 เปิดไปแล้วจำนวน 7 โครงการ มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท และในช่วงที่เหลือคาดเปิดตัวอีก 2-3 โครงการ รวมทั้งปีเป็น 9-10 โครงการ มูลค่ารวม 6,000-7,000 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 15% จากปี 63
 

-   คงประมาณการกำไรปี 64 และปี 65 ตามเดิมซึ่งเติบโต 7% และ 10% ตามลำดับ :  รายได้จากการโอนโครงการในปี 64 มีโอกาสแตะระดับ 6 พันล้านบาทสอดคล้องกับมูลค่าโครงการที่มีแผนเปิดขายใหม่ทั้งปีที่ราว 6-7 พันล้านบาทซึ่งเป็นอัตราการเติบโตราว 5% ฝ่ายวิจัยคงประมาณการรายได้และกำไรตามประมาณการเดิมที่  6,002 ล้านบาท และ 1,266 ล้านบาท  ซึ่งเติบโต 4% และ 7% (เมื่อเทียบกับกำไรปกติ) ตามลำดับ  ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้น 2Q64 ราว 1,200 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการขายและการโอนยังคงทำได้ตามเป้าหมาย  แต่คาดว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3Q64 มีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสสอง จากการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่  แต่อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวแล้วในเดือนสิงหาคม และ backlog ที่เหลือจะรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะใน 4Q64 ที่มักเป็นช่วงไฮซีซั่น ส่วนปี 65 คาดรายได้จากการโอนโครงการอยู่ที่ระดับ 6,602 ล้านบาท และกำไรที่ 1,391 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 10% ทั้งรายได้และกำไร

-   คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 65 ที่ 12.30 บาท :  ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของบริษัท จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง ในการประเมินราคาเหมาะสมอิง Prospected PER ที่ระดับ 8.2 เท่าซึ่งเป็นระดับ +1.5SD ระยะ 4 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับ 23.4 เท่า  จากการประเมินกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 65 ที่ 1.5 บาทได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 12.3 บาท โดยมี upside ประมาณ 30% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 6.0% ต่อปีอยู่ในระดับสูงน่าสนใจ  จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” 
 

ปัจจัยเสี่ยง 

1.    กำลังซื้ออ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
2.    ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง
3.    ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น
4.    การพัฒนาโครงการมีความล่าช้า