KCE - ถือ (13 ส.ค.63)

KCE - ถือ (13 ส.ค.63)

คาดว่ากำไรจะเร่งตัวขึ้นใน 2H64

Event

ประชุมนักวิเคราะห์

Impact

คาดว่ายอดขายจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้…

ผลการดำเนินงานของ KCE สะดุดไปบ้างจากการที่ COVID-19 กลับมาระบาด (ซึ่งทำให้ต้องใช้มาตรการกักตัวคนงานของบริษัท) ส่งผลให้ยอดขายใน 2Q64 อยู่ที่ 113 ล้านดอลลาร์ฯ (+69% YoY,ทรงตัว QoQ) อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น ~3-5% QoQ ใน 3Q64 (หลังจากที่คนงานของบริษัท 90% ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว ทำให้การดำเนินงานราบรื่นมากขึ้น) และจะเพิ่มขึ้น 20% QoQ ใน 4Q64 (เมื่อมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 600,000 ตารางฟุต/เดือน ทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านตารางฟุต/เดือน) ซึ่งหากอิงตามประมาณการของผู้บริหาร ยอดขายรวมในปี 2564 จะอยู่ที่~480 ล้านดอลลาร์ฯ (ใกล้เคียงกับสมมติฐานในปัจจุบันของเราที่ 465 ล้านดอลลาร์ฯ)

…เช่นเดียวกับอัตรากำไรขั้นต้น

เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นใน 2H64 (จาก 29.0% ใน 2Q63) เนื่องจาก i) การปรับราคาขายสินค้าส่งผลอย่างเต็มที่ และ ii) เงินบาทอ่อนค่าลง โดยอัตราแลกเปลี่ยน QTD อยู่ที่ 32.80 บาท/ดอลลาร์ฯ (จาก 31.30 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 2Q64 และ 31.30 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 3Q63) และอัตราแลกเปลี่ยน YTD อยู่ที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์ฯ (จากสมมติฐานในปัจจุบันของเราที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ฯ) ผู้บริหารคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 2H64 จะสูงกว่า 30% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564 อยู่ที่ 29%-30% (สูงกว่าสมมติฐานในปัจจุบันของเราที่ 28.5%)

กำไรใน 3Q64 – 4Q64 จะโตทั้ง YoY และ QoQ

ประมาณการกำไรปีนี้ของเราสะท้อนยอดขาย และอัตรากำไรที่คาดว่าจะออกมาดีใน 2H64 ไปเรียบร้อยแล้ว (กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 1H64 คิดเป็น 45% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา) ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2564-65 เอาไว้เท่าเดิม เรามองว่าประมาณการกำไรของเรายังมี upside อีกจาก
อัตรากำไรขั้นต้น (GPM ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1% จะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ~6%) เราคิดว่าโมเมนตั้มของกำไรที่คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้ง YoY และ QoQ ใน 2H64 จะเป็นโอกาสให้เข้าเก็งกำไรได้ และสามารถดูช่วงราคาซื้อขายได้จากการวิเคราะห์ sensitivity ของเรา (Figure 1)

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 80 บาท อิงจาก PER ที่ 36.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต +1.5 S.D.)

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2564-65 ที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)