ป.ป.ช. 2 ขั้ว ภารกิจร้อน 4:4 บทพิสูจน์ลงดาบ คดีแกนนำ ‘3 ก๊กการเมือง’

ป.ป.ช. 2 ขั้ว ภารกิจร้อน'4 : 4' บทพิสูจน์ลงดาบคดี แกนนำ‘3 ก๊กการเมือง’ จับตาหากคดีีมติ“เสมอกัน” ประธาน ป.ป.ช.ต้องชี้ขาด
KEY
POINTS
- คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ที่มีเสียงเท่ากัน 4:4 เสียง โดยมีที่มาจากการแต่งตั้งของวุฒิสภาคนละชุด
- การลงมติในคดีสำคัญต่างๆ อาจเกิดภาวะเสียงเท่ากัน ซึ่งจะทำให้ประธาน ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจชี้ขาด
- ป.ป.ช. มีคดีร้อนที่ต้องพิจารณาจำนวนมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับแกนนำจาก 3 กลุ่มการเมืองหลัก ทั้งก๊กส้ม (คดี 44 สส. แก้ไข ม.112), ก๊กน้ำเงิน (คดีเขากระโดง) และก๊กแดง (คดีนายกฯ เศรษฐา, ตั๋ว PN แพทองธาร)
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กำลังกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” อีกครั้ง พลันที่คดีร้อนอย่าง “อดีต 44 สส.ก้าวไกล” เข้าคิวรอขึ้นเขียง ในคดีถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมฯ อย่างร้ายแรง กรณียื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
แม้คดีดังกล่าวในชั้นคณะกรรมการไต่สวน ซึ่งมี “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” ประธาน ป.ป.ช. เป็นประธานกรรมการไต่สวน จะดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วก็ตาม ทว่า สส.ส้ม หลายคนที่ต้องคดีนี้ ได้ยื่นเรื่อง “ขอความเป็นธรรม” เข้ามาในช่วงโค้งสุดท้าย ส่งผลให้ต้อง “เลื่อนลงมติ” คดีดังกล่าวออกไป อย่างไม่มีกำหนด เพื่อพิจารณาข้อร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวเสียก่อน
ท่ามกลางสาธารณชนที่กำลังจับตา “องค์กรสนามบินน้ำ” อย่างหนัก เพราะมีภารกิจหน้าที่สำคัญภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นคือการ “ป้องกัน-ปราบปราม” การทุจริตคอร์รัปชัน แต่การพิจารณาหลายคดีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคดีที่มี “นักเลือกตั้ง” เข้าไปพัวพัน ถูกมองว่า “ตัดสิน” ไม่ค่อยเป็นธรรมสำหรับบางคนเท่าไร
ล่าสุด เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีกครั้ง เมื่อ สว.ชุดปัจจุบัน มีมติท่วมท้นเห็นชอบ"สุชาติ สุนทรีเกษม" อดีตผู้พิพากษาศาลอาญา แทน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธาน ป.ป.ช. ที่หมดวาระ และ "มนูภาร ยศธแสนย์" อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา แทน สุวณา สุวรรณจูฑะ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่หมดวาระ หลังจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติมี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. เป็นประธานกมธ.ได้พิจารณาแล้วเสร็จ
สำหรับ สว.ชุดปัจจุบัน กำลังเผชิญข้อครหา“สีน้ำเงิน” ถูกกล่าวหาว่าปล่อยให้ “บางพรรค” เข้ามา “แผ่บารมี” ในสภาฯสูง จนอาจส่งผลต่อการตัดสินใจงานด้านนิติบัญญัติ และให้ความเห็นชอบบุคคลไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งเรื่องนี้กำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)
ตัดภาพมาที่สำนักงาน ป.ป.ช.เมื่อ สว.ให้ความเห็นชอบว่าที่กรรมการ ป.ป.ช.เพิ่มเติมอีก 2 คน เท่ากับว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปัจจุบัน มีจำนวนครบ 9 คนแล้วตามรัฐธรรมนูญ แต่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1.คนที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งแล้ว จำนวน 6 คน คือ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง ประภาศ คงเอียด และเพียรศักดิ์ สมบัติทอง
2.คนที่ได้รับความเห็นชอบจาก สว.แต่ยังอยู่ระหว่างรอโปรดเกล้าฯ 3 คน คือ พศวัจณ์ กนกนาถ (ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ 7 ส.ค. 2566) และ 2 คนล่าสุด คือ สุชาติ สุนทรีเกษม และมนูภาร ยศธแสนย์
หากลงให้ลึกกว่านั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนข้างต้น สามารถแบ่งที่มาได้ 2 กลุ่มอีกเช่นกัน แบ่งเป็น
1.จากการให้ความเห็นชอบของ 250 สว.ยุค คสช. จำนวน 4+1 คน ได้แก่ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง และพศวัจณ์ กนกนาถ (ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ 7 ส.ค. 2566 แต่ปัจจุบันยังมิได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง จึงมิได้เข้าร่วมประชุมใด ๆ)
2.จากการให้ความเห็นชอบของ สว.ชุดเลือกไขว้ ซึ่งถูกครหาว่าเป็น “สภาฯสูงสีน้ำเงิน” จำนวน 4 คน ได้แก่ ประภาส คงเอียด อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง เพียรศักดิ์ สมบัติทอง อดีตอธิบดีอัยการ สำนักงานคณะกรรมการอัยการ สุชาติ สุนทรีเกษม อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และ มนูภาร ยศธแสนย์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
หากไม่นับเสียงของ “พศวัจณ์ กนกนาถ” ที่รอโปรดเกล้าฯ มากว่า 2 ปี จะทำให้เสียงของกรรมการ ป.ป.ช.ยุค 250 สว. จำนวน 4 เสียง ต้องเผชิญหน้ากับกรรมการ ป.ป.ช.ยุค สว.สีน้ำเงิน จำนวน 4 เสียงเท่ากัน
หมายความว่าคดีความที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันต้องมีการ“ลงมติ” ตัดสินชี้ขาด น่าจับตามองเป็นอย่างมาก หากบางคดีมีมติออกมา“เสมอกัน”บุคคลสุดท้ายที่จะต้องชี้ขาดตามกฎหมายคือ“ประธาน ป.ป.ช.”
สำหรับคดีสำคัญที่ยังรอการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ เช่น “คดีก๊กส้ม” กรณีอดีต 44 สส.ก้าวไกล ซึ่งคณะกรรมการไต่สวนชุดที่มี “สุชาติ” ประธาน ป.ป.ช.เป็นประธานฯ ดำเนินการแล้วเสร็จ แต่ สส.พรรคประชาชน (ปชน.) บางคนที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา ทำให้ต้องพิจารณากันอีกครั้ง
“คดีก๊กน้ำเงิน” ยังเหลือค้างเพียบ ทั้งกรณีกล่าวหา “อนุทิน ชาญวีรกูล” เมื่อครั้งเป็น มท.1 ในรัฐบาลก่อน ถูกกล่าวหาละเลยไม่ตรวจสอบกรณี “เขากระโดง” รวมถึงกล่าวหา “ไชยชนก ชิดชอบ” สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรงหรือไม่ กล่าวหาพัวพันกับกรณี “เขากระโดง” ดังกล่าว เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ กรณี “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีต รมว.คมนาคม ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วว่า มีพฤติการณ์ส่อเข้าข่าย “ซุกหุ้น” หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น โดยให้ “นอมินี” เป็นถือครองแทน และต้องพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น มีการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ไต่สวน กรณีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่อีกทางหนึ่ง โดยเรื่องนี้ว่ากันว่า ดำเนินการเสร็จแล้ว และชงที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติอย่างหนึ่งอย่างใดออกมาแล้วด้วย และจะมีรายละเอียดตามมาต่อไป
“คดีก๊กแดง” กรณีกล่าวหา “เศรษฐา ทวีสิน” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย และเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่
กรณี “คลิปเสียงแพทองธาร ชินวัตร” ที่ถูก “สว.สีน้ำเงิน” เข้าชื่อร้องเรียนว่าการกระทำของ “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยการไต่สวนคดีนี้ คาดว่า ป.ป.ช.จะขอคัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่า “แพทองธาร” ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯร้ายแรง นำมาประกอบในสำนวนคดีด้วย
กรณีกล่าวหา “ตั๋ว PN” หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน ในการซื้อขายหุ้นกว่า 4.4 พันล้านบาท แก่บุคคลในครอบครัวของ “แพทองธาร” โดยถูก “ฝ่ายค้าน” นำโดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” อดีต สส.ปชน.กังขา และนำไปสู่การซักฟอกในสภาฯ อย่างเผ็ดร้อนว่า เข้าข่ายทำ“นิติกรรมอำพราง” หลบเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้กว่า 218.7 ล้านบาทหรือไม่ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ 2 หน่วยงาน
1.สำนักงาน ป.ป.ช.ที่รับเรื่องไว้ไต่สวนแล้ว 2.กรมสรรพากร ที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ชี้ขาดประเด็นนี้ หากมีความผิดจริง อาจต้องเสียเงินจ่ายภาษีย้อนหลังหลายร้อยล้านบาท
รวมถึงกรณี “รีสอร์ทหรู” เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ถูก “ธีรัจชัย พันธุมาศ” สส.กทม. พรรค ปชน.อีกหนึ่งมือดีค่ายสีส้ม ซักฟอกกลางสภา ขุดหลักฐานว่า โฉนดที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคอง เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ให้สงวนหวงห้ามไว้ ไม่ให้มีการเข้าไปทำประโยชน์และไม่ให้ออกเอกสารสิทธิใด ๆ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเช่นกัน
ทั้งหมดคือคดีสำคัญที่ยังค้างอยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน มีที่มาแบ่งออกเป็น 2 สายอย่างชัดเจน
หลังจากนี้คงต้องจับตาการ “วัดพลัง” ของแต่ละฝ่ายว่า แต่ละคดีมีบทสรุปออกมาเป็นอย่างไร
ที่สำคัญจะกู้ภาพลักษณ์ “สองมาตรฐาน” ซึ่งโดนค่อนขอดมานานนับ 10 ปีได้หรือไม่ รอดูฝีมือ







