TTB ไตรมาส2/64กำไร2.53 พันล้านลดลง8.9%พิษโควิดกดรายได้ร่วง-สำรองเพิ่ม

 TTB ไตรมาส2/64กำไร2.53 พันล้านลดลง8.9%พิษโควิดกดรายได้ร่วง-สำรองเพิ่ม

TTB ไตรมาส2/64กำไรสุทธิ2.53 พันล้าน ลดลง 8.9%จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุโควิดระบาดกดรายได้จากการดำเนินงานลดลง-ตั้งสำรองเพิ่มอีก5.49 พันล้าน ส่งผลให้ครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ 5.3 พันล้าน ลดลง26.8%จากครึ่งปีแรก63

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)หรือ TTBแจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564 ว่าธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,534.10 ล้านบาท ลดลง 8.9%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,094.93 ล้านบาท เนื่องจาก มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง 2% และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับตัวลง11.5% ส่งผลให้รายได้รวมจาการดำเนินงานอยู่ที่ 15,900 ล้านบาท ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ ลดลง 5.6%เทียบกับไตรมาส1ปี 2564 ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัว


รวมถึงธนาคารมีการตั้งสำรอง5,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2 %จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อขั้นที่ 3อยู่ที่จำนวน 43,543 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 2.89 จากเดิมที่ร้อยละ 2.75 โดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพสอดยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทำให้ครึ่งปีแรก2564 มีกำไรสุทธิ 5,316.06 ล้านบาท ลดลง26.8%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,258.39 ล้านบาท



นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 2 มีความท้าทายมากขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน ซึ่งรุนแรงมากกว่าการระบาดที่เคยเกิดขึ้นในไตรมาส 1 สำหรับทีเอ็มบีธนชาตนั้น เรามีภารกิจสำคัญในเรื่องการรวมธนาคาร ซึ่งแม้จะเผชิญกับข้อจำกัดจากสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่จากการเตรียมงานและความทุ่มเทของพนักงานก็ทำให้ภารกิจรวมธนาคารเสร็จสมบูรณ์ได้เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา เป็นไปตามกรอบระยะเวลา 18 เดือนที่วางไว้ 

ในส่วนของการดำเนินงานในไตรมาส 2 นั้น ธนาคารยังคงเน้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่เร่งการเติบโตสวนทางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง เนื่องจากไม่ต้องการสร้างความเสี่ยงเพิ่มเติม จุดประสงค์หลักก็เพื่อรักษาและคงความแข็งแกร่งทางการเงินไว้ให้พร้อมสำหรับการเติบโตเมื่อเศรษฐกิจเอื้ออำนวย อย่างไรก็ดี แม้มีแรงกดดันด้านรายได้แต่เป้าหมายหลักด้านอื่น ๆ ธนาคารยังคงทำได้ดีตามแผน ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการ โดยเฉพาะจากด้านงบดุล (Balance sheet synergy) และด้านต้นทุน (Cost synergy) การมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์

 และด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังรุนแรงและยืดเยื้อ สิ่งสำคัญที่สุดที่ธนาคารเร่งดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในตอนนี้ คือ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและการยกระดับมาตรการด้านสุขอนามัยเพื่อดูแลความปลอดภัยของพนักงานทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความปลอดภัยของพนักงานทัพหน้า เช่น พนักงานสาขาและศูนย์บริการลูกค้า ซึ่งหมายรวมถึงความปลอดภัยของลูกค้าที่ยังมีความจำเป็นต้องเข้ามาใช้บริการที่สาขาด้วยเช่นกัน

 

สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง มองว่าสถานการณ์โควิด-19 จะยังมีผลกระทบกับเศรษฐกิจต่อไป ดังนั้น ภาพรวมเชิงกลยุทธ์จึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือการดำเนินการตามแผนการรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการด้านรายได้ (Revenue synergy) ภายหลังการรวมธนาคาร ผ่านการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ตรงจุดและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น 

ในด้านค่าใช้จ่ายนั้น จะยังมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการรวมกิจการเหลืออยู่บางรายการในช่วงครึ่งปีหลัง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับแผนการดูแลพนักงานในช่วงโควิด-19 ทำให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะยังอยู่ใกล้กับกรอบด้านบนของเป้าหมายธนาคารที่ 47%-49%

ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ ยังเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่เอื้อให้ธนาคารสามารถช่วยเหลือลูกค้าและดูแลคุณภาพสินทรัพย์ได้ดียิ่งขึ้น โดยนับตั้งแต่การระบาดในปีที่แล้ว ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปมากกว่า 7.5 แสนราย ปัจจุบันยอดสินเชื่อที่อยู่ภายใต้โปรแกรมความช่วยเหลือมีสัดส่วนประมาณ 14% ของสินเชื่อรวม 

ภายใต้โปรแกรมให้ความช่วยเหลือ การปรับโครงสร้างการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับสภาพคล่องที่เปลี่ยนไปของลูกค้าช่วยให้ลูกค้าส่วนใหญ่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ลดการผิดนัดชำระหนี้ และชะลอการเกิดหนี้เสียใหม่ อย่างไรก็ดี เนื่องจากการแก้หนี้เสียที่มีอยู่เดิม เช่น การขาย ทำได้ช้าลงเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจในสถานการณ์ปกติ ดังนั้น โดยรวมแล้วยอดหนี้เสียและสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) จะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น