เวิลด์แบงก์ หั่นจีดีพีไทยปี 64 เหลือ 2.2% เหตุโควิดฉุดการเติบโต

เวิลด์แบงก์ หั่นจีดีพีไทยปี 64 เหลือ 2.2% เหตุโควิดฉุดการเติบโต

ธนาคารโลกปรับเป้าเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโต 2.2% จากเดิมคาดโต 3.4% จากผลกระทบโควิด-19 ชี้ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายเศรษฐกิจ

นางสาวเบอร์กิต แฮนเซิล ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย หรือ เวิลด์แบงก์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงถูกกระหน่ำอย่างหนักต่อไปอีกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้เพียง 2.2% ในปี2564 ซึ่งปรับลดลงจาก 3.4% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน มี.ค. ขณะที่รายงานตามติดเศรษฐกิจไทย "เส้นทางสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ" ฉบับล่าสุดของธนาดารโลกที่เผยแพร์ในวันนี้ (15 ก.ค.) มองว่าการให้ความช่วยเหลือคนยากจนและกลุ่มเปราะบาง รวมถึงแรงงานนอกระบบ ยังจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป เนื่องจากโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ อนาคตที่ดูซึมลงเป็นผลมาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกสามที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ที่มีต่อการบริโภคภาคเอกชน และแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามามีจำนวนที่ต่ำมากจนถึงสิ้นปี 2564 จากเดิมประเทศไทยมีสถิติจำนวนการเข้ามาของนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปี 2562 แต่จำนวนที่คาดการณ์สำหรับปี 2564 ถูกปรับลดลงอย่างมากจาก 4-5 ล้านคนเหลือเพียง 6 แสนคนเท่านั้น

"ผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจากโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน รายได้ และความยากจน แต่การรับมือด้วยมาตรการความคุ้มครองทางสังคมที่ครบถ้วนของรัฐบาลส่งผลเป็นที่น่าพอใจในการบรรเทาผลกระทบ โดยพื้นที่การคลังของประเทศไทยยังคงมีเพียงพอสำหรับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือนยากจนและผู้ที่ลำบากมากที่สุดในช่วงเวลาหลายเดือนข้างหน้า"

นางสาวฟรานเชสกา ลามานนา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารโลก กล่าวว่า ประเทศไทยมีการดำเนินการที่ค่อนข้างดีในแง่ของระดับและความรวดเร็วในการรับมือด้านการคลัง รัฐบาลได้ขยายมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประชาชนจากเดิมที่อยู่ในระดับไม่มากนักมาเป็นชุดของมาตรการให้เงินเยียวยาในระดับแถวหน้าของโลกเพื่อการรับมือกับโควิด-19 การจำลองสถานการณ์เบื้องตันบ่งบอกว่าจะมีคนจนเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 780,000 คนในปี 2563 หากรัฐบาลไม่ได้เพิ่มความช่วยเหลือทางสังคม

"วิกฤตในปี 2563 แสดงให้เห็นถึงความสามารถของประเทศไทยในการใช้งานระบบเลขประจำตัวประชาชนดิจิทัลที่เข้มแข็งและครอบคลุม ระบบดิจิทัลที่รองรับการใช้งนได้ดีและทำงานข้ามแพล็ตฟอร์มได้ ขณะที่ฐานข้อมูลเพื่อการบริหารงานภาครัฐจำนวนมากในการคัดกรองผู้มีคุณสมบัติสำหรับมาตรการให้เงินเยี่ยวยาที่ออกมาใหม่ ก้าวต่อไปของประเทศไทยจะต้องอาศัยการผนึกกำลังความพยายามต่างๆ เหล่านี้และการเตรียมพร้อมให้ดียิ่งขึ้นไปอีกเพื่อรับมือกับวิกฤต โดยการจัดตั้งระบบการลงทะเบียนทางสังคม"

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย กลุ่มธนาคารโลก กล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่กลับมาอยู่ในระดับก่อนหน้าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไปจนกระทั่งปี 2565 โดยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) น่าจะอยู่ที่ 5.1% อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการฟื้นตัวจะขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการดำเนินการฉีดวัดซีนของประเทศไทย ประสิทธิผลของมาตรการสนับสนุนทางการคลัง และระดับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ

ขณะที่การส่งออกสินค้า ซึ่งคาดว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จากการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และผลิตผลทางการเกษตร แต่ความเสี่ยงในด้านลบมีค่อนข้างมาก เนื่องจากการฟื้นตัวอาจต้องล่าช้าออกไปเพราะมีโควิด-19 ลายพันธุ์ใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้การรักษาและวัคซีนที่มีอยู่ไม่เป็นผล

"มาตรการตรวจเชื้อ-สืบย้อน-กักตัวที่หมาะสมและการดำเนินการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึงจะมีความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการล็อคดาวน์ กระตุ้นการเพิ่มการเคลื่อนย้ายและการบริโภคภายในประเทศให้ต่อเนื่อง และเพื่อให้ประเทศลามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ในระยะยาว การปฏิรูปเพื่อลดต้นทุนและอุปสรรคการค้าจะช่วยให้ไทยได้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก"

รายงานฉบับนี้ยังเสนอด้วยว่ารัฐบาลควรต้องลงทุนในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบความคุ้มครองทางสังคมของประเทศ สิ่งสำคัญอันดับแรกในอนาคตอันใกล้คือการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยดูแลให้มีการให้ความช่วยเหลือตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผลเพื่อจำกัดภาระทางการคลังโดยรวม

นอกจากนี้วิกฤตครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องมีระบบให้ความคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมภาคการทำงานนอกระบบที่มีขนาดใหญ่ตลอดเวลาด้วย ไม่ใช่เฉพาะแต่ในช่วงวิกฤตเท่านั้นดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่