KCE - ถือ (13 พ.ค.64)

KCE - ถือ (13 พ.ค.64)

อัตรากำไรยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก

Event

ประชุมนักวิเคราะห์

lmpact

ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลน chip และ อุปสงค์ยังแข็งแกร่ง

ผู้บริหารยืนยันว่าคำสั่งซื้อของบริษัทไม่ได้ถูกกระทบจากสถานการณ์ขาดแคลน chip และบริษัทมียอดคำสั่งซื้อเต็มยาวไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งจะคิดเป็นรายได้ประมาณ 435 ล้านดอลลาร์ฯ และเป็นกรณีฐานสำหรับรายได้ปีนี้ (เราใช้สมมติฐานรายได้ปีนี้อยู่ที่ 465 ล้านดอลลาร์) ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 600,000 ตารางฟุต/เดือน ใน 2H64 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมสิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.6 ล้านตารางฟุต/เดือน โดยประมาณ 50% ของกำลังการผลิตใหม่จะใช้ผลิตสินค้าที่มี margin สูง และเราคาดว่าจะทำให้สัดส่วนของสินค้า margin สูงเพิ่มขึ้นจากประมาณ 10% ของยอดขายในปี 2563 เป็น 12% ในปี 2564 และเพิ่มเป็น 18% ในปี 2565

ความสำเร็จในการเจรจาปรับราคาจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมี upside อีก

บริษัทรับมือกับการที่ราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้นด้วยการเจรจาขอปรับขึ้นราคาขายกับลูกค้าอีกประมาณ 5% ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนทองแดงในปัจจุบัน (US$10,500/ton) ทั้งนี้ บริษัทเจรจาสำเร็จไปแล้วประมาณ 60%ของปริมาณคำสั่งซื้อทั้งหมด โดยอีก 32% กำลังอยู่ในกระบวนการเจรจา และอีก 6% ตกลงที่จะยอมปรับราคาบางส่วน (~2%) ส่วนอีก 2% ไม่ยอมเจรจาด้วย ทั้งนี้ การปรับราคาขายใหม่จะทยอยมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และคาดว่าจะมีผลเต็มที่ใน 3Q64 เรามองว่าความสำเร็จในการเจรจาปรับราคาจะทำให้ KCE ได้ประโยชน์จาก product mix ที่เอื้อ (ขยายไปสู่สินค้าที่ margin สูง) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท ดังนั้น เราจึงปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 27.0% (จากเดิม 25%) และปี 2565F เป็น 28% (จากเดิม 25.5%) ใกล้เคียงกับเป้าปีนี้ของผู้บริหารที่ 27-28% ส่งผลให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้นอีกเฉลี่ย 17%

Valuation & Action

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 เป็น 68.00 บาท จากเดิมที่ 58.00 บาท โดยอิงจาก PER ที่ 36.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต +1.5 S.D.) ซึ่งสะท้อนถึงการปรับประมาณการกำไรและข้อมูลใหม่ที่ได้รับเกี่ยวกับการปรับราคาขายสินค้า เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” โดยมองว่ายังอาจจะมีโอกาสให้เข้าซื้อเก็งไรได้เนื่องจาก i) อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส ii) คาดว่ากำไรจะโต YoY ทุกไตรมาส

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2564-65 ที่ 29.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)