SINGER - ถือ

SINGER - ถือ

ประมาณการ 1Q64: เริ่มต้นอย่างช้า ๆ

Event

ประมาณการ 1Q64 และปรับลดคำแนะนำ

lmpact

ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงแข็งแกร่ง

บริษัทมองว่า COVID-19 ที่กลับมาระบาดระลอกสาม และการที่คนต้องทำงานจากที่บ้านจะช่วยเร่งยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงในหมวดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20%-40% ของยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของ SINGER มีการเติบโตดี ทั้งนี้ GPM เฉลี่ยของเครื่องใช้ไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 45% แต่เครื่องปรับอากาศมี GPM สูงถึง 50% ทั้งนี้ เนื่องจากมีการขยายทีมดีลเลอร์การขายใน 2H63 ทำให้เราคาดว่ายอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของบริษัทน่าจะโตได้ถึง 40% YoY แต่จะลดลง 4%QoQ โดยคาดว่า GPM ใน 1Q64F จะอยู่ที่ 46%

คงเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อเอาไว้เท่าเดิม

จากความพยายามที่จะขยายพอร์ตสินเชื่อให้ถึง 1 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ (จาก 6.6 พันล้านบาทในปี 2563) เราจึงยังคงคาดว่าสินเชื่อจะโต 12% QoQ และ 85% YoY ทำให้พอร์ตสินเชื่อขยายตัวเป็น 7.3 พันล้านบาทใน 1Q64F อย่างไรก็ตาม เราใช้สมมติฐาน yield สินเชื่อ และ margin ลดลงประมาณ 0.8%) ตามโครงสร้างสินเชื่อที่เปลี่ยนไป (yield สินเชื่อจำนวนทะเบียน 19% และ yield ของสินเชื่อ leasing เครื่องใช้ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 21.5%) ในขณะเดียวกัน ต้นทุนทางการเงินก็มีแนวโน้มลดลง โดยเราคาดว่า margin จะลดลง 60bps เหลือ 15% ถึงแม้ SINGER จะตั้งเป้าลดสัดส่วน NPL ปีนี้เหลือ <4% (จาก 4.4% ในปี 2563) แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังเปราะบาง ดังนั้นสัดส่วน NPL จึงน่าจะยังทรงตัวอยู่ที่ 4.4% ซึ่งจะทำให้ต้องกันสำรองเพิ่มขึ้นที่ 2.7% ใน 1Q64F (จาก 2% ใน 2H63)

คาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q64 จะอยู่ที่ 127 ล้านบาท (+47% YoY แต่ -10% QoQ)

กำไรที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง YoY จะสะท้อนถึงสินเชื่อที่โตถึง 86%, ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โต 40%,margin ที่ลดลง 60bps, และ GPM ที่เพิ่มขึ้น 1% ในขณะเดียวกัน กำไรที่ลดลง QoQ ก็สะท้อนถึงฐานกำไรที่สูงใน 4Q63 จากการกลับรายการค่าใช้จ่ายภาษี แต่หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรก่อนหักภาษีจะเพิ่มขึ้น 27% QoQ และ 43% YoY

Valuation and action

ประมาณการกำไรสุทธิใน 1Q64 คิดเป็น 21% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา เรามองว่ากำไรที่เริ่มต้นอย่างช้า ๆ ในช่วงต้นปีเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาลสอดคล้องกับรูปแบบปกติของบริษัทที่กำไรจะเน้นหนักในช่วงหลังของปี ทั้งนี้ เนื่องจากเหลืออัพไซด์ ถึงราคาเป้าหมายของเราอีกไม่มากแล้ว เราจึงปรับลด
คำแนะนำเป็น ถือ ในขณะที่คงราคาเป้าหมายปี 2565F เอาไว้ที่ 40 บาท (P/E ที่ 25x)

Risks

การแข่งขันที่เข้มข้นบีบให้ yield ลดลง, NPLs เพิ่มขึ้นทำให้ต้องตั้งสำรองเพิ่ม, D/E สูง, ต้นทุนด้านการตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อสร้าง brand awareness.