เมื่อหุ้นเทคฯ ครองตลาดหุ้น สร้างความคาดหวังบนราคา
ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วง 2 สัปดาห์หลังเปิดทำการซื้อขายตลาดหุ้นไทย ดัชนีแม้จะยังทรงตัวที่ระดับ 1,520 จุดยังไม่ปรับตัวลดลงไปแรงจนหลุด 1,500 จุด
ได้รับแรงหนุนจากหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหรือธุรกิจที่ปรับตัวไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นมาแบบไม่ธรรมดา
ปรากฎการณ์ที่ทำเอานักลงทุนฮือฮา หนีไม่พ้นหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่แรงข้ามปี ซึ่งมี หุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจในกลุ่มนี้มากขึ้น
ด้วยราคาหุ้นที่ขึ้นมาทำนิวไฮ 838 บาท ( 28 ธ.ค. 2563) เป็นการบวกจากราคาต้นปี 2563 ถึง 781 บาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 15 เท่า จนกลายเป็นหุ้นที่ชี้นำดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นหรือลงตามราคาหุ้นในวันนั้นๆ ได้
แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์จะสกัดความร้อนแรงของราคาหุ้นด้วยการใช้เกณฑ์ซื้อขายบัญชีเงินสด (Cash Balanc ) ระดับที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 6 -26 ม.ค. 2564 แต่ราคาหุ้นยังสามารถกลับมาเพิ่มขึ้นได้จนราคากลับมาที่สูงสุดของวันระดับ 804 บาท (11 ม.ค. 2564)
ท่ามกลางตลาดหลักทรัพย์เตรียมประกาศใช้เกณฑ์คุมเข้มหุ้นที่มีฟรีโฟลทต่ำ ซึ่งมีหุ้น DELTA รวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งประเด็นที่หนุนราคายังมีผู้ซื้อในระดับอัตราส่วนกำไรต่อหุ้นต่อราคาปิด (P/E) แพงระยับถึง 151 เท่า มาจากการดำเนินธุรกิจผลิตสินค้าป้อนกลุ่มเทคโนโลยีและดิจิทัล
หรือแม้แต่การเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน อย่าง รถยนต์อีวี จากการที่ DELTA ได้เทคโนโลยีผลิตที่ชาร์ทแบตเตอรี่ ล้วนแต่เป็นธุรกิจอนาคตที่ทำให้เกิดความคาดหวังว่าจะสร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท
โดยยังมีหุ้นในกลุ่มเดียวกันทั้ง บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KEC รายใหญ่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ได้งานในกลุ่มอีวี หรือ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สมาร์ทไอทีให้กับแบนรด์ใหญ่ระดับโลก ได้รับอานิสงค์ดีไปด้วย
นอกจากกลุ่มนี้แล้วธุรกิจที่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอนาคตไม่ว่าจะเป็น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่เดินหน้าโรงงานแบตเตอรี่ หรือบริษัทลูก บริษัท เน็กซ์พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ที่จะเป็นผู้เข้าประมูลโครงการอีวีของภาครัฐ ล้วนทำราคาสลับบวกกันอย่างร้อนแรง
เทรนการมาธุรกิจดังกล่าวเห็นได้ชัดตั้งแต่มีล็อกดาวน์ทั่วโลก เพื่อป้องกันการระบาดโควิด ทำให้มีการหันมาใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลมากขึ้น จนตลอดปี 2563 มีผลผลักดันดัชนี ตลาดหุ้นสหรัฐ NASDAQ บวกขึ้นสวนทางการติดเชื้อโควิด-19 จนสามารถปิดสิ้นปีบวกไป 17 %
ด้วยตลาดหุ้นสหรัฐมีหุ้นกลุ่มนี้จำนวนมากและเป็นอันดับต้นๆของโลกทั้ง Microsoft (MSFT) ผู้พัฒนาซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ , Apple (AAPL) ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์แอปเปิ้ล
Amazon (AMZN) ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 อีคอมเมิร์ชของโลก ,Facebook (FB) ผู้พัฒนาสังคมโซเซียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานอันดับ 1 ของโลก ,Netflix (NFLX) ผู้ให้บริการบันเทิงทางอินเตอร์เน็ต ผ่านระบบสตีมมิ่ง หรือ Alibaba Group Holdings (BABA ) คุมตลาดอีคอมเมิรช์ทั่วโลกทั่วโลก หรือแม้แต่หุ้น Tesla หรือ “เทสลา” ของ อีลอน มักสก์ ก็ขึ้นแท่นบริษัทขนาดใหญ่หลังจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 9 เท่า มูลค่าบริษัทเพิ่มจาก 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต้นปี 2563พุ่งขึ้นไปถึง 6.69 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี โดยราคาหุ้นสูงกว่า 700 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 743%เป็นต้น
จากปัจจัยข้างต้นเมื่อดูผลตอบแทนของกลุ่มดังกล่าวเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ (อิงดัชนี MSCI ACWI INDEX) เห็นได้ว่าผลตอบแทนในกลุ่มไอทีบวกขึ้นอันดับ 1 ถึง 44.55 % ในปี 2563 และยังมีผลต่อดัชนี 22.09 %
สำหรับไทยยอมรับว่าแทบไม่มีหุ้นที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี แต่เป็นผู้ผลิตหรือซัพพรายเชนรายใหญ่ระดับโลกจำนวนมาก แต่ในอนาคตเริ่มมีธุรกิจที่ “มูฟ ออน” เข้าสู่เทคโนโลยีและดิจิทัลมากขึ้น และประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็นแรงเสริมที่มีความคาดหวังพร้อมที่ดันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ขึ้นมาเช่นกัน