'ประกันสุขภาพ' ทางรอดวิกฤติโควิด-19

ปี 2563 กำลังจะผ่านพ้นไปท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่กำลังระบาดในบ้านเรา ทำเอาแต่ละคนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะนอกจากจะกลัวโรคร้ายที่วัคซีนป้องกันยังมาไม่ถึงแล้ว ยังหวาดหวั่นกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจถูกฉุดให้ร่วงลงไปอีก

เพราะแค่จังหวัดสมุทรสาครจังหวัดเดียวที่ถูกล็อกดาวน์นั้นมีผลิตภัณฑ์มวลรวมประมาณ 400,000 ล้านบาท คิดเป็น 2.5% ของ GDP ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา นับเป็นอันดับ 6 ของประเทศ รองเพียงกรุงเทพฯ ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ และพระนครศรีอยุธยา สมุทรสาครติดท็อปเทนจังหวัดนำส่งภาษีสูงสุดของไทย อยู่ในอันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าภาษีจัดเก็บได้ปีละประมาณ 16,000 ล้านบาท ด้วยมีโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 6 พันแห่ง อาทิ โรงงานผลิตพลาสติก โรงงานอาหารทะเลแปรรูป มีแพกุ้ง แพปลาเป็นแหล่งกระจายอาหารทะเลสด

เมื่อถูกล็อกดาวน์อย่างนี้ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจคงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และด้วยสภาพเศรษฐกิจในยุคโควิด-19 ที่อะไรก็ไม่แน่นอนเงินทองเริ่มหายาก การบริหารความเสี่ยงจึงมีความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนรองรับความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไม่เฉพาะแต่โรคโควิด-19 เท่านั้น โรคร้ายแรงต่างๆ ก็เป็นภัยร้ายที่ไม่อาจมองข้ามได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง

ซึ่งโรคร้ายเหล่านี้จำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยเทคนิคทางการแพทย์ระดับสูง ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจึงสูงตามไปด้วย และมีแนวโน้มว่าค่ารักษาพยาบาลจะสูงขึ้นทุกปี ปีละ 8-10%

ดังนั้น การเลือกซื้อประกันชีวิตและซื้อสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพจึงมีความจำเป็นอย่างมากและไม่ใช่สิ่งที่รอได้อีกต่อไป เพราะการทำประกันสุขภาพนั้นต้องทำก่อนเจ็บป่วย ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตก็มีผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่หลากหลายตรงกับความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งให้ความคุ้มครองครอบคลุมโรคโควิด-19 ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจึงขอย้ำทำความเข้าใจกับลูกค้าเดิมที่มีประกันชีวิตและมีสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ รวมทั้งกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มที่บริษัท หรือต้นสังกัดมอบให้เป็นสวัสดิการอยู่แล้วนั้น ถือว่าท่านมีความคุ้มครองกรณีการเจ็บป่วยด้วยโรคไวรัสโควิด-19 รวมอยู่ในกรมธรรม์เหล่านั้นแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าจะยังคงได้รับความคุ้มครองทุกกรณี ตามจำนวนผลประโยชน์ที่กำหนดไว้ในตารางกรมธรรม์ประกันภัยภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันชีวิตและ/หรือสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ

และในจังหวะโค้งสุดท้ายปลายปี สำหรับคนที่มองหาโอกาสในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้คุ้มค่าก็ต้องรีบๆ เลย เพราะสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพตามจำนวนที่จ่ายจริงมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ไม่เกิน 15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิต (ยกเว้นแบบบำนาญ) แล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับผู้ที่ตัดสินใจทำประกันสุขภาพไปแล้ว อย่าลืมแจ้งความประสงค์ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไปยังบริษัทประกันชีวิตที่ได้ซื้อประกันสุขภาพไว้ตามแบบฟอร์มที่บริษัทกำหนด

นอกจากนี้ในกรณีของบุตรที่ดูแลบิดา มารดา โดยซื้อกรมธรรม์ประกันลูกกตัญญู จะสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพของบิดา มารดามาหักลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท ถ้ามีพี่น้องหลายคนสามารถแบ่งหักลดหย่อนภาษีได้เท่าๆ กัน ทั้งนี้บิดา มารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และ

เมื่อแตะเรื่องลดหย่อนภาษีแล้วจะไม่พูดถึงผลิตภัณฑ์ประกันบำนาญคงจะไม่ได้ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในยามเกษียณสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่ชำระไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท ตามเกณฑ์ที่สรรพากรกำหนด ตัวอย่างเช่น ถ้าฐานภาษีเงินได้ 10% จ่ายเบี้ยประกันชีวิต 200,000 บาท สามารถลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

ทั้งนี้ หากมีกรมธรรม์ประกันชีวิตบำนาญฉบับเดียวไม่มีแบบประกันชีวิตอื่นใดอีกเลยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ในฐานภาษีที่ 10% ลดหย่อนภาษีเงินได้เท่ากับ 30,000 บาท ซึ่งจะต้องดูเพิ่มเติมว่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญนี้ เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

สุดท้ายก่อนส่งทุกท่านเข้าสู่ปี 2564 ขอฝากกำลังใจสู่ทุกท่าน แม้สถานการณ์โควิดจะรุมเร้าวิกฤติเศรษฐกิจจะหนักหนา แต่เราเชื่อว่าคนไทยมีความสามัคคี ถ้าเราตื่นตัว ตื่นกลัว และให้ความร่วมมือตามมาตรการภาครัฐ กินร้อน ช้อนตัว สวมใส่หน้ากากอนามัย พกเจลล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม รวมถึงการสแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะเมื่อเข้ารับบริการจากร้านค้าเชื่อว่าไม่นาน “เราจะสามารถฝ่าวิกฤติและชนะโควิดนี้ไปด้วยกัน”