MAJOR - ถือ

MAJOR - ถือ

คาดจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564

Event

งานประชุมนักวิเคราะห์งวด 3Q63

lmpact

ผลประกอบการหลักใน 9M63 ถูกกดดันจากรายได้โรงภาพยนตร์ที่ลดลง

MAJOR ขาดทุนสุทธิ 855 ล้านบาทใน 9M63 จากที่มีกำไรสุทธิ 980 ล้านบาทใน 9M62 โดยผลขาดทุนในงวด 9M63 รวมรายการพิเศษ 206 ล้านบาท (การตัดจำหน่ายลูกหนี้การค้าบางรายการด้วย) แต่หากไม่รวมรายการดังกล่าว ผลขาดทุนหลักใน 9M63 จะอยู่ที่ 649 ล้านบาท จากที่มีกำไรหลัก 966 บาทใน 9M62 เพราะถูกกดดันจากรายได้ที่ลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงภาพยนตร์ ซึ่งรายได้เพียงแค่ 1.5 ล้านบาทเท่านั้น (-74%YoY) เนื่องจากจำนวนผู้ชมลดลงถึง 70% YoY เหลือ 8.9 ล้านคน และราคาตั๋วเฉลี่ย (ATP) ก็ลดลง 19% YoY

คาดจะยังขาดทุนหลักต่อเนื่องใน 4Q63 แต่คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564

ถึงแม้เราจะคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น QoQ แต่การพลิกเป็นกำไรหลักใน 4Q63 ยังเป็นเรื่องท้าทายเพราะคาดรายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์ใน 4Q63 จะมาจากภาพยนตร์ไทยเป็นหลัก ส่วนหนังฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวู้ด เช่น "No Time To Die" และ "Free Guy" ถูกเลื่อนฉายจาก 4Q63 เป็นปี 2564 ขณะที่มี
แค่ Wonder Woman เท่านั้นที่ยังคาดว่าจะเข้าฉายตามกำหนดในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2563 ส่วนในปี 2564 เราคาดว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรได้จากรายได้โรงภาพยนตร์ และรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มและของขบเคี้ยวที่เพิ่มขึ้น ตามจำนวนผู้ชมที่เพิ่มขึ้น และมีหนังเด็ดจากฮอลลีวู้ดรอเข้าฉาย
หลายเรื่อง เช่น "The Fast and the Furious 9" "The Eternal" และ "Black Widow" บวกกับจะมีภาพยนตร์ไทยเข้าฉายจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้รับความนิยมจากผู้ชมในต่างจังหวัด

คงประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2563-64 เอาไว้เท่าเดิม

ถึงแม้ว่าผลขาดทุนหลักในงวด 9M63 จะคิดเป็น 85% ของประมาณการผลขาดทุนหลักในปีนี้ของเรา แต่เรายังคงประมาณการผลการดำเนินงานหลักปี 2563 เอาไว้ที่ขาดทุน 760 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าผลขาดทุนหลักจะลดลง QoQ ใน 4Q63 และจะพลิกเป็นกำไรหลัก 719 ล้านบาทในปี 2564 จากโปรแกรม
หนังเด็ดจากฮอลลีวู้ดที่จ่อคิวรอลงโรงฉาย

Valuation & Action

เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2563 เอาไว้เท่าเดิมที่ 16.40 บาท (PER ที่ 20.4x เท่ากับ -0.5 S.D) และเรายังคงคำแนะนำ ถือ MAJOR

Risks

รายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์ต่ำกว่าที่คาดไว้