‘ศรีตรังโกลฟส์’เทรดก.ค.นี้ ขยายกำลังผลิต‘ถุงมือยาง’

‘ศรีตรังโกลฟส์’เทรดก.ค.นี้  ขยายกำลังผลิต‘ถุงมือยาง’

“ศรีตรังโกลฟส์” จ่อขายไอพีโอ เข้าเทรดใน SET ภายใน ก.ค.นี้ นำเงินลงทุนขยายกำลังผลิต “ถุงมือยาง” เพิ่มปีละ 4-5 พันล้านชิ้น หรือแตะ 1 แสนล้านชิ้นต่อปีในปี 75 มองความต้องการพุ่ง รับกระแสนิวนอร์มอลหลังโควิด

นายวราห์ สุจริตกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันซ่า ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ในช่วงเดือน ก.ค.นี้  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการอัพเดทข้อมูลต่างๆ ของบริษัท ซึ่งในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ จะเผยแพร่บทวิเคราะห์ของSTGT ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่ละเอียดมากขึ้น

ทั้งนี้ STGT มีจุดเด่นเรื่องความมั่นคงในการหาวัตถุดิบเพราะมีบริษัทแม่อย่าง บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA ป้อนวัตถุดิบให้ และธุรกิจผลิตถุงมือยางเป็นธุรกิจที่คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ยาก และผลจากโควิด-19 น่าจะทำให้เกิดความปกติใหม่ (New normal) ในเรื่องของการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้น

นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปขยายกำลังการผลิตถุงมือยางของบริษัท โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตถุงมือยางแตะระดับ 5 หมื่นล้านชิ้นต่อปีในปี 2567 และเป็น 1 แสนล้านชิ้นต่อปีในปี 2575 จาก ณ สิ้นเดือน มี.ค.2563 มีกำลังการผลิตแล้ว 3.3 หมื่นล้านชิ้นต่อปี เป็นอันดับ 3 ของโลก

“การขยายกำลังการผลิตของบริษัทจะทยอยเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 4-5 พันล้านชิ้นต่อปี สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ประมาณ 8% ในระยะยาว ส่วนในช่วงปี 2559-2562 ที่ผ่านมา ความต้องการใช้ถุงมือยางเติบโตเฉลี่ย 12.2% ต่อปี หรือประมาณ 3 แสนล้านชิ้นต่อปี”

ปัจจุบัน บริษัทส่งออกประมาณ 90% ตลาดหลักคือกลุ่มประเทศในเอเชีย 38.8%, ยุโรป 21.5% สหรัฐ 20% หลังจากนี้บริษัทจะขยายไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะใน 4 พื้นที่หลัก ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ แอฟริกา และอเมริกาใต้ ซึ่งยังมีสัดส่วนน้อยอยู่

ด้านนางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2562 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1.22 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2561 และมีกำไรสุทธิ 613.91 ล้านบาท ลดลง 37.5% ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปีนี้ มีรายได้รวม 3,873.28 ล้านบาท เติบโต 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 421.89 ล้านบาท เติบโต 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

การลดลงของผลประกอบการในปี 2562 ผลจากเงินบาทแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่เงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่า บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับราคาขายถุงมือยางลง เพื่อให้แข่งขันกับคู่แข่งในมาเลเซียได้ และในช่วงไตรมาสแรกปีนี้  ค่าเงินบาทและริงกิตเริ่มไปในทิศทางเดียวกัน บริษัทก็สามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง