'ดับบลิวเอชเอ' แนะรัฐเร่งดึงลงทุนหลัง 'โควิด'

'ดับบลิวเอชเอ' แนะรัฐเร่งดึงลงทุนหลัง 'โควิด'

“ดับบลิวเอชเอ” ชงภาครัฐจัดแพ็คเกจดึงลงทุนทันที ชี้แนวโน้มหลังโควิดเกิดการย้ายฐานจากจีนเข้าอาเซียนเพิ่มมากขึ้น แนะบีโอไอเพิ่มมาตรการดึงลงทุน

นางสาว จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มในช่วงหลังโควิด-19 จะเกิดการเคลื่อนบ้านฐานการลงทุนออกจากจีนมาก โดยมีเป้าหมายเข้ามาในอาเซียน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องร่วมมือกับภาคเอกชนดึงนักลงทุนเหล่านี้ให้เข้ามาในไทยให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะต้องเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แม้เดินทางมาไม่ได้ก็ต้องการช่องทางการสื่อสารอื่นๆเพิ่มขึ้น

อย่างรอให้โควิด-19 หายแล้วจึงจะเริ่ม ซึ่งจะไม่ทันการณ์ ส่วนมาตรการที่คณะกรรมการส่เสริมการลงทุน (บีโอไอ) ออกมาจะต้องลงในรายละเอียดอย่างชัดเจนให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมที่ไทยต้องการ

“ซัพพลายเชนโลกจะเปลี่ยน เดิมทีกระจุกอยู่ที่จีน หลังจากนี้จะออกจากจีนมากขึ้น แต่สหรัฐก็ต้องการดึงกลับประเทศ ญี่ปุ่นก็อยากดึงกลับประเทศ แต่ต้นทุนการผลิตทั้ง 2 ประเทศสูงมากจะกลับไปไหวหรือไม่ ซึ่งในส่วนของญี่ปุ่นมองว่าพวกไฮเทคอาจจะกลับญี่ปุ่น อย่างอื่นคงจะมาอาเซียน และตลาดส่วนมากก็จะอยู่โซนเอเชีย จึงไม่น่าจะดึงกลับไปประเทศแม่มากนัก แต่ก็ต้องดูว่าจีนจะเอาอย่างไร เพราะล่าสุดจันได้ประเทศยกเอาเกาะไหหล่ำผลักดันขึ้นมาแทนฮ่องกง ทั้งสินค้าโลจิสติกส์ และเทคโนโลยี แต่สุดท้ายในปีหน้าการลงทุนไทยจะดีขึ้น”

สำหรับ ผลกระทบจากโควิด-19 ดับบลิวเอชเอกระทบไม่มาก ด้านธุรกิจโลจิสติกมีผลประกอบการที่ดี จากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ ล่าสุดถึงเซ็นสัญญาใช้พื้นที่ไปอีก 3 หมื่นตารางเมตร ในขณะนี้ก็เซ็นสัญญาได้กว่า 1 แสนตารางเมตรแล้ว จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 2 แสนตารางเมตร

ส่วนนิคมอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบในช่วงครึ่งปีแรกเพราะคนเดินทางมาไม่ได้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัว จะเห็นนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และประเทศต่างๆย้ายฐานเข้ามาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น หากการเดินทางระหว่างประเทศเป็นปกติ การเคลื่อนย้ายการลงทุนจะมาอีกระรอกครั้งใหญ่ต่อเนื่องจากสงครามการค้า

ทั้งนี้ หลังโควิด-19 จะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เริ่มในไลน์การผลิตต่างๆ โดยมีเทคโนโลยี 5จี เช่น ใช้หุ่นยนต์เพิ่ม เพื่อเว้นระยะห่างในไลน์ผลิต เพื่อให้สามารถปิดสายการผลิตได้ทันทีบางส่วนหากมีโรคระบาด ในขณะที่สายการผลิตอื่นๆ ยังผลิตต่อไปได้ จะทำให้ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 เร็วขึ้น 

โดยอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ และเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพจะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งการขยายฐานการผลิตจากจีนและประเทศอื่นๆมายังไทย ซึ่งไทยน่าจะใช้จุดเด่นในการรับมือโควิด-19 ได้ดี นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ประกอบการในนิคมฯ จำนวนมากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ช่วยเหลือเอสเอ็มอีไปมาก ส่วนผู้ประกอบการในนิคมรัฐบาลน่าจะลดค่าธรรมเนียมจัดเก็บต่างๆ อย่างไรก็ตามมีบางอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น เช่นอิเล็กทรอนิกส์ ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงงานในจีนหยุดการผลิต ทำให้นำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา