ขาดปัจจัยหนุน

ขาดปัจจัยหนุน

จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยที่เร่งขึ้นจะยังเป็นปัจจัยลบหลักกดดันตลาดในวันนี้

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ร่วง 21.36 จุด (-1.68%) ปิดที่ระดับ 1,250 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7.2 หมื่นล้านบาท นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากังวลรัฐบาลลดค่าไฟฟ้ากระทบกำไรผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP (BGRIM, GPSC) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากข่าวพบผู้ติดเชื้อไวรัส Covid-19 ในไทยเพิ่มขึ้นอีก 6 ราย นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 อีก 3,926 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตรต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แต่แรงขายลดลงเป็น 207 ล้านบาท ส่วนตลาด TFEX ต่างชาติพลิกเป็น Net Long  23,597 ล้านบาท เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้     

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลงทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,220-1,235 จุด เนื่องจากตลาดไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน ไม่มีกลุ่มนำตลาด กลุ่มน้ำมันซึ่งเป็นตัวพยุงตลาด เมื่อวานอาจมีแรงขายหลังจากที่เมื่อคืนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง ความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่ง WHO ประกาศเป็นภาวะการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) และจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยที่เร่งขึ้นจะยังเป็นปัจจัยลบหลักกดดันตลาดในวันนี้ หุ้นในกลุ่ม Big Cap ยังถูกกดดันจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มโรงไฟฟ้าราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวภาครัฐลดค่าไฟไปแล้ว เลือกเล่นเป็นรายตัวเน้นหุ้นที่ EPS growth และ Dividend yield สูง ชอบ BCPG และ GPSC
  • กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO, BJC) กำลังซื้อเพิ่มหลังรัฐคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, KTC) ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
  • กลุ่ม Defensive และปันผลสูง ADVANC, INTUCH, TTW

หุ้นแนะนำวันนี้

  • GPSC (ปิด 57.25 ซื้อเก็งกำไร/เป้า 68 บาท) วานนี้ราคาลดลง 8% คาดสะท้อนปัจจัยลบจากข่าวภาครัฐประกาศลดค่าไฟฟ้าไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้น ณ ระดับปัจจุบันเริ่มมี upside จากราคาเป้าหมาย ด้านผลกำไรคาดโตโดดเด่นจากการรวมงบกับ GLOW โดยคาดกำไรสุทธิปีนี้ประมาณ 6,437 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 59%yoy
  • CPALL (ปิด 66 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 88 บาท) คาดได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ (คืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท) เนื่องจากมีสาขากระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ

บทวิเคราะห์วันนี้

-

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) ดาวโจนส์ร่วงแรง 1,465 จุด หลัง WHO ประกาศให้ไวรัส Covid-19 เข้าสู่ภาวะการระบาดไปทั่วโลก(Pandemic): ดัชนีดาวโจนส์กลับมาร่วงแรงอีกครั้งกว่า 1,465 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 มากขึ้นหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ไวรัส Covid-19 เข้าสู่ภาวะการระบาดไปทั่วโลก (Pandemic) จากเดิมระบาดในภูมิภาค (Endemic) และแสดงความกังวลถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโดย WHO คาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต นอกจากนี้ตลาดยังรอความชัดเจนของรายละเอียดสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน. โดนัล ทรัมป์
  • (-) น้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.38 ดอลลาร์จากข่าว ซาอุฯประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมันและสหรัฐรายงานสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเกินคาด: ราคาน้ำมันดิบยังผันผวนเช่นเดียวกับตลาดหุ้น Wall street โดยเมื่อคืนราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.38 ดอลลาร์ (-4%) ปิดที่ระดับ 32.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 1) ซาอุฯประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบขึ้นสู่ระดับ 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับเป็นการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี และ 2) สหรัฐ (EIA) รายงานสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 อีก 7.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล
  • (+) ประชุม ECB วันนี้คาดผ่อนคลายนโยบายการเงินตาม Fed และ BoE ของอังกฤษ: หลังจากที่ Fed และ BoE ประกาศลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน 0.5% จาก 1.75% เป็น 1.25% และ จาก 0.75% เป็น 0.25% ตามลำดับ เราคาดว่าธนาคารกลางอื่นๆจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินในทิศทางเดียวกันกับ Fed และ BoE โดยวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินยุโรป (ECB) เบื้องต้นคาด ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ตามเดิมแต่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลางอีก -0.1% จาก -0.5% เป็น -0.6% และมีโอกาสเพิ่มวงเงิน QE จากเดิม 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนเป็น 3-5 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน
  • (-) กลุ่มโรงไฟฟ้าราคาร่วงแรงสะท้อนข่าวภาครัฐปรับลดค่าไฟฟ้าไปแล้ว แต่แนะเลือกซื้อเป็นรายตัวเน้นหุ้นที่ยังมี Growth: วานนี้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกเทขายอย่างหนักเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการลดราคาและตึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ที่ระดับ 3.5 บาทต่อหน่วยเป็นเวลา 3 เดือนจะกระทบรายได้และกำไรของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะโรงไฟฟ้า SPP (BGRIM, GPSC) ซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ซึ่งสูตรราคาคำนวณ link กับค่า Ft เบื้องต้นตลาดคาดผลกระทบดังกล่าวจะกระทบกำไรของ BGRIM มากสุดประมาณ 3-15% (3% มาตรการ 3 เดือน และ 15% มาตรการยาว 1 ปี) ตามด้วย GPSC ขณะที่ GULF, RATCH และ EGCO ได้รับผลกระทบน้อยสุดเนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้า IPP และมีฐานลูกค้าเป็น EGAT มากกว่าลูกค้า IU ดังนั้นราคาหุ้นที่ลดลงเมื่อวานมองว่าสะท้อนปัจจัยนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังต้องเลือกลงทุนเนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มยังค่อนข้างแพง Dividend ต่ำและไม่มี Growth โดยหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเราชอบ BCPG และ GPSC