‘อีซีเอฟ’ มุ่งธุรกิจหลักเลิกแผนแตกไลน์

‘อีซีเอฟ’ มุ่งธุรกิจหลักเลิกแผนแตกไลน์

‘อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค’ ทิ้งแผนแตกไลน์ธุรกิจใหม่ทั้งหมด เดินหน้าลุยธุรกิจหลักเดิมทั้ง ‘เฟอร์นิเจอร์และโรงไฟฟ้า’ ตั้งงบลงทุน 300-400 ล้านบาท หวังขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าราว 50 เมกะวัตต์

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า ในอนาคตหลังจากนี้บริษัทจะกลับมามุ่งเน้นการขยายธุรกิจหลักที่ทำอยู่แต่เดิม ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และโรงไฟฟ้า เท่านั้น แม้ที่ผ่านมาบริษัทจะมีความพยายามที่จะเติบโตผ่านการออกไปร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

“หลังจากนี้ คงจะไม่ได้เห็นบริษัทพยายามที่จะไปควบรวมกับใครอีกแล้ว อย่างน้อยก็ในช่วงปี 2563 - 2564 เพราะที่ผ่านมานอกจากจะไม่เป็นไปตามที่คาดไว้แล้ว บริษัทยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับที่ปรึกษาเพื่อประเมินโครงการต่างๆ ซึ่งบางปีสูงถึง 20 ล้านบาท”

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทเตรียมใช้งบลงทุนราว 300 - 400 ล้านบาท สำหรับลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศขนาดประมาณ 50 เมกะวัตต์ 

ทั้งนี้ การลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ๆ จะเป็นการลงทุนของบริษัททั้ง 100% แตกต่างจากที่ผ่านมาซึ่งบริษัทจะอาศัยการร่วมลงทุนเป็นหลัก 

ส่วนธุรกิจเฟอร์นิเจอร์คาดว่าจะเห็นยอดขายกลับมาอยู่ในระดับปกติ และจะมียอดขายส่วนเพิ่มเติมเข้ามาช่วยสนับสนุนด้วย หลังจากที่บริษัทได้พันธมิตรจากต่างประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น และอาหรับ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างรายได้ราว 300 ล้านบาท ในปี 2563 

สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับบริษัทยังมุ่งเน้นการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย การจัดการช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดคำสั่งซื้อสินค้ายาวต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2563

ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนจะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผ่านมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ที่มินบู ประเทศพม่า เฟสแรก 50 เมกะวัตต์ สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ที่ผ่านมา