SAMART - ซื้อ

SAMART - ซื้อ

ปรับเพิ่มคำแนะนำและราคาเป้าหมายจากงานโครงการดิจิตอลทรังค์เน็ตเวิร์คของ SIM

ประเด็นการลงทุน

เราปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับหุ้น SAMART จาก “ถือ” ไปเป็น “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ SAMART ซึ่งประเมินโดยวิธี sum-of-thepart ณ สิ้นปี 2560 จาก 15.75 บาทไปเป็น 20 บาท (หรือเพิ่มขึ้นอีก 27%) เนื่องจากการปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 ของ SIM (จาก 0.50 บาทไปเป็น 1.07 บาท) โดยอิงกับการปรับเพิ่มอัตราส่วน
P/BV ที่ใช้ในการประเมินราคาเป้าหมายของ SIM จาก 2.1 เท่าไปเป็น 4.5 เท่า (หรือคิดเป็น +1SD เหนือค่าเฉลี่ยอัตราส่วน P/BV ระยะยาวของหุ้น SIM) เราเชื่อว่าหุ้น SIM ควรจะขึ้นไปซื้อขายเหนืออัตราส่วน P/BV เฉลี่ยระยะยาวของหุ้นเองเนื่องจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของ SIM จะเป็นการสร้างและหนุนกระแสรายได้ของ SIM ให้มั่นคงมากขึ้นในระยะยาวจากการได้งานโครงการติดตั้งอุปกรณ์โครงข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิตอล (ดิจิตอลทรังค์เน็ตเวิร์ค) ซึ่งจะส่งผลให้ขาดทุนสุทธิของ SIM ลดลงและกำไรสุทธิของ SAMART เพิ่มขึ้นในอีก 8 ปีข้างหน้า อัพไซด์ถัดไปได้แก่ งานโครงการติดตั้งสถานีฐานบนเสาสัญญาณร่วม (โคทาวเวอร์) ของ SIM ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ภายในเดือนก.ย. 2560 ซึ่งงานทั้งสองโครงการนี้จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ SIM มีแนวโน้มพลิกฟื้นเป็นกำไรสุทธิได้ภายในปี 2562 หรือปี 2563 นอกจากนี้อัพไซด์ของหุ้น SAMART ยังจะมาจากโรงงานไฟฟ้า 2 พันเมกะวัตต์ที่ประเทศกัมพูชาซึ่งคาดว่าน่าจะมีความคืบหน้าในช่วงปลายปี 2560

เซ็นสัญญางานโครงการดิจิตอลทรังค์เน็ตเวิร์คกับกสท.

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2560 เอสไอเอสซี คอนซอร์เตียมซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทสามารถไอโมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM และบริษัทสามารถคอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยของ SAMTEL) ได้เข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือกสท. เพื่อทำการจัดหาและ
ติดตั้งอุปกรณ์โครงข่ายวิทยุคมนาคมระบบดิจิตอล (Digital Trunked Radio System: DTRS) เพื่อให้บริการแก่กสท. กสท.ตกลงที่จะจ่ายค่าบริการให้กับเอสไอเอสซี คอนซอร์เตียมคิดเป็นรายเดือนๆ ละ 500 บาทต่อเดือนต่อเครื่อง (หรือต่อผู้ใช้บริการหนึ่งราย) เอสไอเอสซี คอนซอร์เตียมคาดว่าจะทำการติดตั้งสถานีฐานอย่างน้อยจำนวน 1 พันแห่ง
ภายในสองปีแรกหลังจากที่ได้ลงนามในสัญญาความร่วมมือพันธมิตรทางธุรกิจ มูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 2.37 พันล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมการติดตั้งสถานีฐานจำนวน 1 พันแห่งและการติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สัญญางานโครงการดิจิตอลทรังค์เน็ตเวิร์คที่เซ็นสัญญากับกสท.ในครั้งนี้จะสิ้นสุดวันที่ 31 ก.ค. 2568 งานโครงการดิจิตอลทรังค์
เน็ตเวิร์คคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 1/61


งานโครงการนี้ถือว่าเป็นการสร้างรายได้ระยะยาวที่มั่นคงให้กับSIM และ SAMART

ลูกค้ารายหลักได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ (สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาครัฐ) และบริษัทเอกชน (ซึ่งในกรณีนี้ SIM จะทำหน้าที่เป็นเอ็มวีเอ็นโอให้กับกสท.) กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคต ได้แก่ กระทรวงกลาโหม (3.1 แสนราย) การปกครองส่วนท้องถิ่น (2.2 แสนราย) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2.2 แสนราย) เรา
เชื่อว่างานโครงการนี้จะช่วยสร้างรายได้บริการที่ยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาวให้กับ SIM ในอีก 8 ปีข้างหน้า รวมถึงรายได้ที่จะได้รับเพิ่มเติมจากการขายอุปกรณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้า และอัพไซด์ของจำนวนลูกค้าที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากภาคเอกชนซึ่งจะมาจากการที่ SIM เป็นเอ็มวีเอ็นโอให้กับกสท.

ปรับประมาณการของ SIM และ SAMART สำหรับปี 2561-68 เพิ่มขึ้นจากเดิม

เราคำนวณรวมงานโครงการดิจิตอลทรังค์เน็ตเวิร์คเข้าไปในประมาณการและราคาเป้าหมายของ SIM ภายใต้สมมติฐานของจำนวนผู้ใช้บริการที่ 5 หมื่นราย ณ สิ้นปี 2561 และ 1.5 แสนราย ณ สิ้นปี 2562 จนถึงปี 2568 และรายได้บริการเฉลี่ยต่อรายต่อเดือนที่ 500 บาท เราประเมินว่างานโครงการนี้สร้างกำไรสุทธิให้กับ SIM จำนวน 39 ล้านบาทในปี 2561 จำนวน 95 ล้านบาทในปี 2562 จำนวน 287 ล้านบาทในปี 2563 จำนวน 251-260 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-67 และจำนวน 153 ล้านบาทในปี 2568 ผลกระทบที่ตามมาได้แก่ เราทำการปรับผลขาดทุนสุทธิของ SIM ลดลงจากเดิมโดยปรับขาดทุนสุทธิลดลง 11% ในปี 2561 ลดลง 27% ในปี 2562 ลดลง 80% ในปี 2563 และลดลง 70% ในช่วง 2564-67 และเนื่องจาก SAMART ถือหุ้น SIM คิดเป็นสัดส่วน 70% ผลขาดทุนสุทธิของ SIM ที่ลดลงส่งผลให้กำไรสุทธิของ SAMART ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยปรับเพิ่มขึ้นอีก 8% ในปี 2561 เพิ่มขึ้นอีก 21% ในปี 2562 เพิ่มขึ้นอีก 47% ในปี 2563 และเพิ่มขึ้นอีก 40%ในช่วงปี 2564-67 เราประเมินว่าอัตราผลตอบแทนภายในของโครงการลงทุน (IRR) สำหรับงานโครงการนี้ได้เท่ากับ 23%