Social Enterprise สังคมได้-ธุรกิจยั่งยืน

Social Enterprise สังคมได้-ธุรกิจยั่งยืน

“องค์ความรู้ การบริหารจัดการ และการตลาด” อาจเป็นสิ่งที่กลุ่มคนยากจนกว่า 200 อำเภอในไทยเข้าไม่ถึง “กิจกรรมเพื่อสังคม”คือคำตอบของการนำปัจจัยทั้ง 3 ด้านเหล่านี้ส่งถึงมือผู้ยากไร้ สังคมได้ประโยชน์ ตอบโจทย์ธุรกิจยั่งยืน

ผลลัพธ์ของโลกในยุคทุนนิยมที่มุ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับระบบเศรษฐกิจ นำไปสู่ปัญหาหลากหลาย โดยเฉพาะการทำให้ “ช่องว่าง” ในการเข้าถึงแหล่งทุน และความรู้ที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย คนจน เกิดปัญหาปลาใหญ่กินปลาเล็ก ธุรกิจใหญ่ได้เปรียบ คนตัวเล็กถูกแย่งชิงทรัพยากร ทำให้เกิดการ“แตกแยก” ทางความคิด และ “อุดมการณ์” ที่ล้วนมาจากพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างกัน 

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.) ในฐานะประธานกรรมการเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ก ประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) 1 ใน 15 บริษัทไทย ที่ลงนามความตกลงปฏิญญา ในการพัฒนาพื้นฐานหลัก 10 ข้อที่เชื่อมโยงทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาของสหประชาชาติ ( UN ) สร้างเป้าหมายการพัฒนายังยืน “SDGs-Sustainable Development Goals" 17 ข้อ ได้แก่

ความยากจน, ความมั่นคงทางอาหาร,สุขภาวะ,โอกาสเรียนรู้, ความเท่าเทียมทางเพศ, สุขาภิบาล, พลังงาน,เศรษฐกิจ,เหลื่อมล้ำ ,ความมั่นคงทางทางการเมืองและถิ่นฐาน, การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน,การต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง, การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล,การรักษาป่าไม้,การส่งเสริมสังคมเป็นสุขและสร้างความเข้มแข็งในการปฏิบัติ

ศุภชัย มองปัญหา กับดักความเหลื่อมล้ำ ของประเทศ รวมถึงของโลกในยุคปัจจุบันว่า เป็นผลมาจากการที่โลกพัฒนาต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระบบเศรษฐกิจ แต่กลับตามมาด้วยปัญหาหลากหลายประการ ทำให้ทั่วโลกเผชิญโจทย์ใหญ่ด้านความเหลื่อมล้ำร่วมกัน

ผลพวงจากมุ่งการพัฒนาด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในซีกโลกหนึ่งของโลกกลับพบว่า มีเด็กกว่า 50% ขาดโอกาสเรียนหนังสือ นั่นหมายถึงประชากรกว่า 1,500 ล้านคน ไร้การศึกษา และประชากรกว่า 2,200 ล้านคน มีอาชีพไม่มั่นคง

ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็หนักข้อขึ้น จากภาวะโลกร้อนอุณหภูมิสูงทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นถึง 19 เซ็นติเมตร และเด็กกว่า 795 ล้านคน อยู่ในภาวะอดอยาก ยังตามมาด้วยปัญหาข้อกีดกันทางการค้า แรงงานทาส การบุกรุกป่า ฯลฯ 

ขณะที่ปฏิญญาโกลบอล คอมแพ็ก เน็ทเวิร์ค จะทำให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงตะหนักการดำเนินธุนกิจอย่างยั่งยั่น รับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยธุรกิจของซีพี ก็เป็นหนึ่งใน 15 บริษัทไทยที่เข้าไปร่วมลงนามและร่วมมือกันสร้างเครือข่ายดังกล่าว

เพราะทุกฝ่ายเริ่มที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมและนักวิชาการ ตระหนักรู้และลุกขึ้นมาพัฒนาธุรกิจไปในทิศทางยั่งยืน สร้างสมดุลทั้ง ธุรกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม

ความร่วมมือกับทุกฝ่าย ทั้งเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ รวมถึงชุมชน เป็นจุดที่สร้างความยั่งยืน ผ่านการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise)เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมจากระบบเศรษฐกิจ"

ทั้งนี้สิ่งที่ UN ให้ความสำคัญคือที่เป็นความท้าทายของการพัฒนายั่งยืน 7 เรื่อง คือ

  1. ความเข้าใจปัญหาของภาครัฐ เป็นกลไกสำคัญในการปรับตัว ต่อการพัฒนาให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคนี้ ที่เกิดปัญหาใหม่ตลอดเวลา
  2. การบังคับใช้กฎหมายและร่างกฎหมายอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนายั่งยืน
  3. การสร้างความตระหนักในภาคเอกชน ที่ในอดีตเอกชนกว่า 90% ดูการเติบโตที่ยั่งยืนได้ ดูเพียงผลกำไรหากมีผลกำไรที่ดีก็จ่ายเงินให้พนักงานและลงทุนด้านการตลาด แต่เมื่อผลกระทบทางสังคมขยายวงกว้างขึ้นจึงต้องดู 3 ด้าน คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
  4. การสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน ที่มีการประสานเสียงทำงานร่วมกัน ซึ่งยอมรับว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก
  5. การตรวจสอบย้อนกลับ เกี่ยวกับการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน
  6. ความร่วมมือในทุกระดับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากอดีตที่มองเฉพาะในอุตสาหกรรมตัวเอง
  7. การสร้างผู้นำในองค์กรที่ตระหนักเรื่องการขับเคลื่อนความยั่งยืน แบ่งปันคุณค่าของพลังแห่งการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรภาคเอกชน ในทุกอุตสาหกรรม

การสร้างโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ คือคำตอบของการพัฒนาเครื่องมือเพื่อมาขับเคลื่อนการทำงาน ก้าวข้ามการระดมทุน การบริจาค แต่เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่อยู่รอดได้ด้วยองค์ความรู้ การจัดการ และการตลาด หลุดกับดักความยากจน แต่เป็นองค์กรที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง

“ทุกปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีจุดเริ่มจากปัญหาพื้นฐานความยากจน ที่เกิดจากการขาดองค์ความรู้ การบริหารการจัดการและการตลาด”

เขายังกล่าวว่า กลุ่มคนยากจนในไทย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีกลุ่มผู้ยากจนรายได้ต่อคนไม่ถึง 5 ดอลลาร์ต่อวันกว่า 200 อำเภอ 

ในขณะที่ซีพี ถือเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีพนักงานกว่า3.5 แสนคนทั่วโลก ที่ถูกนับให้เป็นบริษัทกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับ 4 ของโลก(หากรวมทรู คอร์ปอเรชั่น และธุรกิจค้าปลีก) รองจาก เนสท์เล่ โคคา โคล่า และเป๊ปซี่ จึงถูกจับตาถึงการมีส่วนส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคมเพื่อสร้างความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ

นั่นเป็นโจทย์ใหญ่ ที่ซีพีจะต้องมีบทบาทที่พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม

“วันนี้เราไม่ได้แข่งแค่ในประเทศแต่แข่งขันกับบรรษัทข้ามชาติ จึงต้องปรับตัวสู่ยุคค้นคว้าวิจัยและนวัตกรรม และมีผู้นำที่ตื่นตัวด้านการสร้างความยั่งยืน เพราะองค์กรที่เคยสำเร็จในอดีตต้องล้มหายตายจากมีหลายธุรกิจ เช่น โนเกีย เพราะไม่ปรับตัว”

ศุภชัย ยังกล่าวว่า ซีพีต้องการเป็นหัวหอกตั้งกองทุน โซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ เดินคู่ขนาน แนวทางของภาครัฐ ที่มีนโยบายตั้งกองทุนพัฒนาสตาร์ทอัพ ธุรกิจโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพในการพัฒนาสังคมสู่ความยั่งยืนไปพร้อมกัน เพราะยุคนี้ธุรกิจเกิดใหม่ที่มูลค่าสูง ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น แอปเปิ้ล กูเกิล อเมซอน และเฟซบุ๊ค

เขายังบอกด้วยว่า โจทย์ใหญ่ของประเทศคือรากฐานการศึกษาที่เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างคน จึงต้องสร้างสถาบันการศึกษาให้มีความคิดแบบโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์ ทำหน้าที่เป็นแหล่งบ่มเพาะการสร้างคนให้เรียนรู้จากภาคปฏิบัติจริง(Action Learning)

ขณะที่ ปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงวิธีการร่วมมือกันของภาคประชาสังคมที่มีควรเดินหน้าไปหากลุ่มทุน ในด้านที่ถนัด เพราะกลุ่มภาคประชาสังคมมีอุดมการณ์แต่ขาดทรัพยากรขับเคลื่อนต่อเนื่อง เมื่อทั้งสองฝ่ายที่มีเป้าหมายการสร้างโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์มาเจอกันจึงทำงานร่วมกันได้

บรรจง นะแส ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน( กป.พอช.) ผู้ที่เคยยืนอยู่คนละข้างกับทุนมาโดยตลอด มองว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยการตั้งโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรส์เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนชุมชนให้เข้าถึงแหล่งความรู้นวัตกรรมการบริหารจัดการ เกิดการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง และเข้าถึงทรัพยากรที่มีจำกัด

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่าภาคการศึกษายังสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกยุค ระบบการศึกษาจะต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สนุกสนาน ที่ทำให้ผู้เข้าเรียนตั้งคำถามและค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง พร้อมกันกับเป็นแหล่งบ่มเพาะความรับผิดชอบต่อสังคม