หวัง ‘คลินิกแก้หนี้’ ลดหนี้เสีย-สินเชื่อครัวเรือน

หวัง ‘คลินิกแก้หนี้’ ลดหนี้เสีย-สินเชื่อครัวเรือน

หวัง "คลินิกแก้หนี้" ลดปัญหา "เอ็นพีแอล-สินเชื่อครัวเรือน"

ภายหลังเปิดตัวโครงการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน หรือ “คลินิกแก้หนี้” ไปเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าได้รับความสนใจจากประชาชนที่ประสบปัญหาดังกล่าวอย่างล้นหลาม โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ร่วมกับ ธนาคารพาณิชย์อีก 16 แห่ง และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ “แซม”

ฐากร ปิยะพันธ์” ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิทัลแบงกิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น 1 ใน 16 ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว เล่าว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมกับแซม เพื่อเตรียมความพร้อมดำเนินการคลินิกแก้หนี้ ขณะนี้ถือว่าธนาคารมีความพร้อมอย่างมาก ซึ่งโครงการนี้จะเน้นแก้ไขหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลเป็นหลัก

ทั้งนี้ คลินิกแก้หนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ..นี้เป็นต้นไป โดยลูกหนี้ต้องเข้าไปติดต่อที่แซม เพื่อแจ้งความประสงค์ที่จะเข้าโครงการดังกล่าวและให้ข้อมูลที่ใช้ประกอบการพิจารณา ซึ่งทางแซมจะนำไปพิจารณาและแจ้งกลับมายังธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ว่า ลูกหนี้ดังกล่าวมีความประสงค์จะเข้าโครงการ และจะขอข้อมูลลูกหนี้ โดยให้ทางธนาคารนั้นๆส่งกลับมาที่แซม

หากมีลูกหนี้กับสถาบันอื่นๆด้วย ทางแซมก็จะรวบรวมข้อมูลลูกหนี้จากธนาคารเจ้าหนี้ทุกแห่ง เพื่อนำมาพิจารณาในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และเจรจายืดหนี้กับลูกหนี้ในกำหนดระยะเวลาเท่าไหร่

จากนั้นแซมจะแจ้งกลับมายังธนาคารทุกแห่ง เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้เป็นสัญญาที่เป็นไปตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ ซึ่งสัญญาจะมีระเบียบข้อปฏิบัติเหมือนกันทุกธนาคาร หลังจากนั้นลูกหนี้จะเปลี่ยนมาเริ่มชำระหนี้กับแซมและแซมจะส่งเงินที่ลูกหนี้ได้ชำระหนี้กลับมาให้ธนาคาร

สำหรับลูกหนี้ของธนาคารที่เข้าเกณฑ์คลินิกแก้หนี้ได้มีประมาณ 20,000ราย เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งลูกหนี้มีหนี้เฉลี่ยต่อรายประมาณ60,000-70,000บาท และในส่วนของธุรกิจนอนแบงก์มีหนี้เฉลี่ยต่อรายประมาณ30,000-40,000บาท ต้องเป็นลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ หรือมนุษย์เงินเดือน ส่วนลูกหนี้ที่เป็นเจ้าของกิจการที่มาขอสินเชื่อบุคคลอาจจะไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม หลังจากเริ่มคลินิกแก้หนี้อย่างเป็นทางการแล้ว ก็ยังต้องติดตามว่าจะมีลูกหนี้ของธนาคารแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน จากการที่ลูกหนี้ต้องไปพิสูจน์ตัวตน เข้าไปติดต่อที่แซมด้วยตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่ความพร้อมของลูกหนี้ด้วยคาดว่า ลูกหนี้อาจจะค่อยๆทยอยเข้าไปติดต่อแซม

ฐากร บอกด้วยว่า เงื่อนไขของคลินิกแก้หนี้ที่คิดดอกเบี้ยต่ำ 7% และยืดหนี้10ปี ถือได้ว่า เป็นเงื่อนไขที่ดี สำหรับลูกหนี้ที่มีความตั้งใจจะแก้หนี้และมีศักยภาพในการชำระหนี้คืนอยู่บ้าง ดังนั้นในเบื้องต้น คาดว่า คลินิกแก้หนี้จะสามารถแก้หนี้ได้ประมาณ5-10%ของทั้งระบบ

“วิธีการแก้หนี้ผ่านแซม แม้ว่าจะมีเงื่อนไข คือ ยืดหนี้แต่ยืดหนี้นานถึง10ปี ในขณะที่สถาบันการเงินมีวิธีแก้หนี้หลายวิธีที่ดีกว่า เช่น แฮคัทหนี้ไปเลยก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับลูกหนี้ที่มีเงินพร้อมชำระหนี้เลย แต่ไม่เคยมีธนาคารที่ยืดหนี้ได้นานถึง10ปีดังนั้นจึงขึ้นกับข้อมูลและความพร้อมของลูกหนี้จะสามารถบริหารจัดการหนี้เข้าเงื่อนไขตรงไหนเหมาะสมกว่า”

นอกจากนี้ ในอนาคตอาจจะขยายเข้าไปถึงลูกหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือนอนแบงก์ด้วย ซึ่งต้องรอการแก้ไขกฎหมายของแซมด้วยการเพิ่มนิยามของนอนแบงก์เข้าไป เพื่อเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนอนแบงก์คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ4-6เดือนในกระบวนการดังกล่าว

เราเปลี่ยนพฤติกรรมลูกหนี้ไม่ได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของลูกหนี้ที่ต้องมาตกลงกัน ซึ่งการมีตัวกลางเข้ามาช่วยเป็นสิ่งที่ดี เราพร้อมสนับสนุนโครงการนี้คลินิกแก้หนี้ไม่ใช่ของใหม่ประเทศอื่นก็มี โดยเฉพาะในภูมิภาคนี้ อาจเห็นผลในบางประเทศ แต่ของเราก็ต้องติดตามว่าจะเห็นแค่ไหน และไม่คิดว่าจะทำให้คนเป็นหนี้มากขึ้นแน่นอน”

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวสถาบันการเงิน ให้ความเห็นในอีกมุมหนึ่งว่า คลินิกแก้หนี้ เสมือนให้ ลูกหนี้ต้องมาสารภาพบาปก่อน และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ถึงจะเข้าโครงการได้ ซึ่งขัดแย้งกับพฤติกรรมลูกหนี้คนไทย ที่ไม่มีความพยายามจะแก้หนี้อย่างจริงจัง

เพราะตามปกติแล้วลูกหนี้สามารถเข้าไปแก้หนี้กับธนาคารที่ก็มีหลากหลายวิธีช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ไม่มีลูกหนี้เข้ามาเจรจากับธนาคารนัก จึงไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะสำเร็จหรือไม่ คงต้องเป็นลูกหนี้ที่ดีต้องการปลดหนี้อย่างจริงจังและมีความสามารถในการชำระหนี้ด้วย ซึ่งคงต้องติดตามโครงการนี้กันต่อไป