กรุงไทยบุกสินเชื่อรายย่อย-เพิ่มสำรอง

"กรุงไทย"รุกรายย่อยทั้งสินเชื่่อ"บ้าน-บุคคล"เพิ่มขึ้นปีนี้ มั่นใจเอ็นพีแอลต่ำ หลังคัดกรองลูกค้า ขอบอร์ดเพิ่มสำรองหนี้เสียเป็น 1.2 พันล้าน
นางประราลี รัตนประสาทพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารคุณภาพสินเชื่อ และกระบวนการธุรกิจเครือข่ายรายย่อย ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนที่จะรุกสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น จากปัจจุบันมีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยรวม 8.1 แสนล้านบาท หลักๆ เป็นพอร์ตสินเชื่อบ้าน 3.8 แสนล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อบุคคล 3 แสนล้านบาท ซึ่งพอร์ตสินเชื่อบุคคลถือว่าใหญ่สุดในระบบ แต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลต่ำไม่ถึง1% โดยเฉพาะหลังจากทำโลนแฟคตอริ่ง หรือทำระบบคัดกรองความเสี่ยงลูกค้าและการอนุมัติสินเชื่อทำได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อมีความเสี่ยงต่ำมาก โดยระบบดังกล่าวเริ่มทำเมื่อเดือนก.ย. 2558
ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาตรวจเยี่ยนเมื่อปีที่ผ่านมาก็ชมระบบทำได้ดี คุณภาพสินเชื่อดีมาก ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีธนาคารรัฐ2 แห่งให้ความสนใจมาดูงานและต้องการให้ธนาคารเอาท์ซอร์ส หรือช่วยคัดกรองและอนุมัติลูกค้าให้ แต่เรื่องนี้ต้องขออนุมัติ ธปท.เพราะเกี่ยวข้องกับกฎระเบียบต่างๆ
โมเดลการอนุมัติสินเชื่อทำให้ธนาคารมั่นใจว่ามีระบบที่เข้มแข็ง จะทำให้กลับมารุกสินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อบ้านและสินเชื่อบุคคลได้ หลังจากได้ชะลอการปล่อยสินเชื่อไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากปัญหาเอ็นพีแอลค่อนข้างสูง ซึ่งเกิดขึ้นจากสินเชื่อเดิมก่อนนำโมเดลโลน แฟคตอริ่งมาใช้
“ปกติสินเชื่อบ้านมักจะเป็นหนี้เสียในปีที่ 3 แต่ระบบการคัดกรองลูกค้าหรือโลนแฟคตอริ่ง จะทำให้รู้ได้เร็วหรือตั้งแต่วันแรกๆ ว่าลูกค้ารายนี้จะเป็นหนี้เสียหรือไม่ เห็นได้จากยอดการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารมีสูงถึง 75% ขณะที่ธนาคารอื่นๆ มียอดการอนุมัติแค่ 55-60% ประกอบการสินเชื่อรายย่อยของเราเน้นปล่อยข้าราชการด้วยทำให้เป็นหนี้เสียต่ำ”
อย่างไรก็ตาม แม้มั่นใจว่าจะคุมหนี้เสียให้อยู่ในระดับต่ำได้ แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาท ธนาคารก็จะขออนุมัติคณะกรรมการเพิ่มการตั้งสำรองให้มากขึ้นเป็น 1,200 ล้านบาทต่อเดือน จากปกติจะมีการตั้งสำรองปกติอยู่แล้ว 1,000 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อทำให้สิ้นปี2559 อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับ 136% ใกล้เคียงธนาคารพาณิชย์ใหญ่อื่นๆ จากสิ้นปี 2559 ธนาคารมีอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ปกติอยู่ในระดับ 121.6% โดยปีที่แล้วเพิ่มการตั้งสำรองพิเศษรวม 33,430 ล้านบาท







