งานจบ งบคุมได้ ฝีมือ ‘เดคคอร์’

เดคคอร์ (Deckcor) ต้องการวางตัวเป็น “คนกลาง” ระหว่างเจ้าของคอนโดมีเนียม,ทาวน์เฮ้าส์กับบริษัทผู้รับเหมาตกแต่งภายใน
เพราะที่ผ่านมามักเกิดข้อพิพาท หรือข้อขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองฝ่ายอยู่เสมอ
ก็เหมือนกับหลายๆ คน “จิรัฏฐ์ จุฑาธรรมภรณ์” นิสิตเก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัดสินใจเดินบนเส้นทางสตาร์ทอัพเพราะปัญหาที่เกิดใกล้ ๆตัว
เขาบอกว่า ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ทำธุรกิจวางผังโครงการและออกแบบภูมิทัศน์ ก็ได้เห็นปัญหาว่า.. ไม่ผู้ออกแบบหรือผู้รับเหมาถูกลูกค้าโกง ก็ลูกค้าถูกผู้รับเหมาโกง หรือบางทีผู้รับเหมาก็ทิ้งงานไปเสียดื้อๆ
"ส่วนใหญ่เกิดจากลูกค้าไม่อยากจ่ายเงินค่าแบบ เลยไปเอาแบบมาจากเว็บต่างประเทศ หรือในหนังสือ ซึ่งแบบที่เอามาไม่มีรายละเอียด เลยคุยราคาให้แม่นยำยาก พอตกแต่งออกมาก็ไม่สวย พอผู้รับเหมาต้องแก้หลาย ๆรอบ ก็ขาดทุนก็เลยทิ้งงาน ผมเคยทำวิจัยซึ่งพบว่าปัญหาที่ลูกค้ากลัวมากที่สุดคือผู้รับเหมาทิ้งงาน รองลงมาคิอกลัวทำไปแล้วเกินงบ"
อีกปัญหาหนึ่งก็คือ หุ้นส่วน รวมถึงลูกน้องในทีมของเขา ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก อินทีเรีย ก็มักจะอยู่ทำงานด้วยกันไม่กี่ปีแล้วก็ลาออก
“เด็กรุ่นใหม่เขาอยากทำธุรกิจ พอทำงานไม่กี่ปีก็ออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ผมเลยคิดว่าเดคคอร์ ซึ่งเป็นมาร์เก็ตเพลสจะทำให้น้องๆ ดีไซน์เนอร์เป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยไม่ต้องเป็นพนักงานที่เข้าออฟฟิศทุกวัน ”
เดคคอร์จะตอบทุกโจทย์ที่กล่าวมาทั้งหมด ด้วยสโลแกน “งานจบ งบคุมได้” คือในฝั่งของลูกค้าก็สามารถมาเลือกแบบการตกแต่งคอนโดหรือห้องพักบนแพลตฟอร์ม จนได้แบบที่ถูกใจ และในราคาที่ย่อมเยา ทำให้ควบคุมงบการเงินได้ ส่วนผู้รับเหมาเองก็ไม่เสี่ยง เนื่องจากระบบะมีรายละเอียด มีสเป็ค มีราคาที่ชัดเจน
"เมื่อลูกค้ากดเลือกแบบเรียบร้อยแล้วเขาก็ชำระเงิน และเงินก็จะมาอยู่ที่เดคคอร์ ซึ่งเราจะเป็นคนกำหนดว่า ค่าแบบมีราคาเท่าไหร่ ค่ารับเหมาเท่าไหร่ หน้าที่คนกลางของเดคคอร์ยังจะเข้าไปช่วยควบคุมคิวซี คอยดูว่าผู้รับเหมาทำงานตรงแบบไหม มีการหมกเม็ดอะไรไหม จนงานแล้วเสร็จอีกด้วย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนทำงานไม่ค่อยมีเวลาว่างมาควบคุมด้วยตัวเอง"
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเดคคอร์ก็คือ เจ้าของคอนโดฯ กับทาวน์โฮม เนื่องจากมีจำนวนที่ค่อนข้างเยอะ และแม้จะเป็นโครงการที่แถมเฟอร์นิเจอร์พร้อมเสร็จเข้าอยู่ แต่ในชีวิตจริงผู้ซื้อก็ยังต้องการแต่งเพิ่มเติมอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น ผ้าม่าน หรือ วอลเปเปอร์ ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็หนีไม่พ้นอยากจะได้ตู้เสื้อผ้าและตู้รองเท้าเพิ่ม เป็นต้น
"ในช่วงแรก ผมทำงานคนเดียว ก็เลยไปดีลกับบริษัทรับเหมาตกแต่งที่เคยรู้จักกัน และเคยเห็นฝีมือกันมารับงาน แต่ตอนนี้ผมมีโคฟาวเดอร์อีกสองคน เขาก็ไปชวนบริษัทอื่นๆมาร่วมด้วยก็ได้รับการตอบรับดี ซึ่งทีแรกผมก็กังวลกลัววว่าบริษัทเหล่านี้จะมองเราเป็นคู่แข่ง แต่เขามองเป็นประโยชน์ช่วยให้เขาได้รับงานชัวร์ๆ"
จะว่าไปเดคคอร์ ทำธุรกิจตกแต่งตลาดแมส ซึ่งเดิมทีลูกค้ารายบุคคลจะหาบริษัทตกแต่งได้ยาก เนื่องจากราคาค่าจ้างไม่สูง ทำให้บริษัทตกแต่งหรือช่างจึงมักมุ่งให้บริการแต่ลูกค้าเป็นเจ้าของโครงการใหญ่เป็นหลัก
ขณะที่ฝั่งของดีไซน์เนอร์เอง ที่เดิมรับงานบ้านเดี่ยวเป็นหลังๆ ซึ่งนานทีจะมีมาสักหลัง เมื่อมาอยู่ในตลาดแมส เขาก็สามารถออกแบบแค่ครั้งเดียว โดยคิดราคาไม่แพง ่แต่ขายได้หลายๆครั้ง
"แต่ตอนนี้เราติดปัญหา ยังไม่สามารถพัฒนาระบบตรงขั้นตอนที่เมื่อลูกค้าตกลงโอเคเรื่องแบบและจะจ่ายเงิน ซึ่งผมได้ลองไปคุยกับบริษัทไอทีสองสามราย เขาบอกราคามาสูงมาก เวลานี้จึงต้องใช้เฟสบุ๊ค ใช้ไลน์ส่งแบบให้ลูกค้าเลือก อาศัยความเชื่อใจกันไปก่อน แต่ถึงระดับหนึ่งที่เรามีการเรสฟันด์ มีเงินทุนเพียงพอ ก็จะทำให้แพลตฟอร์มันคอมพลีท"
เมื่อถามถึงรายได้ เขาบอกว่าหลักๆจะมาจากสองทาง คือ คอมมิชชั่นที่จากค่าแบบตกแต่ง และค่าคิวซีจากฝั่งลูกค้า
เป้าหมายสูงสุดของจิรัฏฐ์ ก็คือ ต้องการขยายเดคคอร์ไปในประเทศเซาท์อีสต์เอเชีย ทำนองว่าในเมื่อสตาร์ทอัพจากมาเลเซีย หรือสิงคโปร์มาตีตลาดไทยได้ สตาร์ทอัพไทยก็ต้องทำได้เช่นกัน ที่เขาสนใจเป็นพิเศษก็คือพม่ากับลาว ซึ่งยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าไม้
" ผมเคยไปเจอไม้ที่ลาวมีบางชนิดสวยดี ประเทศเขาอาจเป็นฐานผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือของตกแต่งบางอย่างให้เราส่งออกไปขายที่ประเทศสิงค์โปร์หรือฟิลิปปินส์ซึ่งมีคอนโดเยอะ หรือเราก็เอาของที่ทำในไทยส่งไปขายประเทศเขาก็ได้"
ที่กล่าวมาคงไม่เกิดในเร็ววัน เพราะไพออริตี้ที่เดคคอร์ต้องทำตอนนี้ คือ การสร้างฐานตลาดเมืองไทยมีความแข็งแกร่งเสียก่อน เขาวางแผนว่านอกจากกรุงเทพ ก็คิดจะขยายไปต่างจังหวัดที่ติดทะเลและมีเศรษฐกิจดี
ส่วนในเรื่องของโอกาสและความท้าทาย จิรัฏฐ์บอกว่า ที่เขาได้ศึกษาและเรียนรู้มาคือ มีสตาร์ทอัพบางธุรกิจก็มืดสนิท คือไม่รู้เลยว่าจะรอดหรือไม่รอด
"ผมว่าอุปสรรคอันแรกคือ ความไม่รู้ ผมเห็นน้อง ๆเจนวายที่ทำสตาร์ทอัพขึ้นมาเสี่ยงที่จะขัดต่อข้อกฏหมาย แต่ของผมได้เปรียบเพราะเอาธุรกิจเดิมมาปรับ ผมอยู่ในวงการอสังหาฯมาอยู่แล้วย่อมรู้ข้อกฏหมาย รู้ข้อจำกัดว่าถ้าอย่างนี้ทำได้ อย่างนี้ทำไม่ได้ ผมปรับตัวเป็นกึ่งๆเอสเอ็มอีกับสตาร์ทอัพ แต่ถ้าจะสตาร์ทจากศูนย์ ไม่มีองค์ความรู้เลย ถ้าคิดอะไรที่มันพลิกแพลงมากก็ต้องเสียเวลามาศึกษากฏหมาย ว่าติดเรื่องโน้นเรื่องนี้หรือเปล่า"
ถามเขาเกี่ยวกับเอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ที่ว่ากันว่าจะมาเปลี่ยนโลก ...วงการตกแต่งออกแบบบ้านจะมีผลกระทบหรือไม่ อย่างไร
"เรื่องการออกแบบถ้าใช้เอไอออกแบบแทนคน ผมมองว่าตรรกะของเอไอจะเหมือนกับวิศวกรซึ่งแตกต่างไปจากสถาปนิกที่ใช้หลักฟังก์ชั่น ความสุนทรีย์ และสังคม เพราะวิศวะจะใชัหลักคณิตศาตร์ ความแข็งแรง ดังนั้นเอไอจะมาแทนที่คนในเรื่องการออกแบบได้ก็คงอีกนาน แต่จะมาช่วยในทำงานได้รวดเร็ว เกิดการเชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
เปิดใจเปลี่ยนทิศ
“ในเวลานี้ที่ผมกำลังศึกษาและเดินตามแนวทาง ก็คือ ลีนสตาร์ทอัพ เพราะโค้ชก็สอนมาด้วยว่าในการทำสตาร์ทอัพให้ธิงก์บิ๊ก แต่แอ็คสมอล”
จิรัฏฐ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาเดคคอร์ มีการ Pivot หรือเปลี่ยนทิศมาหลายครั้ง แต่มันอาจไม่สามารถทำได้หากไม่มีการ “เปิดใจ”
ไอเดียแรกที่เคยคิดไม่ใช่เดคคอร์ในเวลานี้ แต่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาในการหาวัสดุตกแต่งให้กับเหล่าสถานิก ที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายยากต่อการค้นหา แต่เมื่อได้เข้าแคมป์บ่มเพาะสตาร์ทอัพโครงการ “The Angel Biz Challenge” ซึ่งมีโค้ชให้คำปรึกษา เขาก็ได้รับคอมเมนท์ว่า แล้วจะอิมแพ็คไหม?
"ผมเลยไปค้นดูก็พบว่าจำนวนสถาปนิกที่อยู่ในสภาฯ มีอยู่แค่สองหมื่นกับหนึ่งคน แต่ที่ไม่อยู่ในสภาฯก็คงมีอีกกว่าครึ่ง รวมแล้วก็น่าจะมีราวสี่หมื่นคน การทำระบบขึ้นมาเพื่อให้คนจำนวนแค่นี้ใช้ไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่ "
เลยนำไปสู่การเปิดใจกว้าง โดยการหันไปมองหาว่า ยังมีปัญหาอื่น ๆ ในวงการอสังหาฯหรือการออกแบบอีกหรือไม่ และที่สุดเขาก็ย้อนคิดได้







