MORNING CALL ACTION NOTES (15 พ.ย.59)
แนวโน้มอ่อนตัว
SET วานนี้ทรุดตัวลงแรงจากความกังวล FED ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง รวมถึงกระแส Fund Flow ต่างชาติ ที่เป็น Net Sell ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนต.ค. กดดันให้ SET ปิดที่ 1,469.23 จุด (-25.30 จุด) Vol. 5.8 หมื่นลบ.โดย Foreign Net –2,552 ลบ. TFEX Net -16,427 สัญญา
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
+/- ตลาดหุ้น DJ ปิดบวกเล็กน้อยจากความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในการผ่อนคลายกฎระเบียบของภาคธนาคาร ปรับลดภาษีของภาคธุรกิจ และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
+/- ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯถูกแรงเทขายและเข้าสู่ตลาดหุ้น ตอบรับนโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ (US Bond Yield 10 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ 2.251% สูงสุดในรอบ 10 เดือน)
+/- ราคาน้ำมันทรงตัวล่าสุด 43.3 US/Barrel เนื่องจากไม่มั่นใจว่าการประชุม 30 พ.ย. กลุ่มโอเปกจะบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตหรือไม่ (แม้ว่าการประชุม 28 ก.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกตกลงที่จะลดกำลังการผลิตสู่ระดับ 32.50-33.0 ล้านบาร์เรล/วัน)
+ การประชุมครม.วันนี้คมนาคมเตรียมเสนอ Action Plan ปี 60 รวม 30 โครงการ มูลค่า 6 แสนลบ.
- Foreign เป็น Net Sell เดือนพ.ย. 1.7 หมื่นลบ. และตั้งแต่เดือนต.ค. เป็น Net Sell 3.5 หมื่นลบ.
** 15 พ.ย. การปรับน้ำหนักหุ้นเข้าคำนวณ MSCI รอบใหม่ และการประชุมครม.ที่ก.คมนาคมเตรียมเสนอ Action Plan ปี 60 กว่า 6 แสนลบ.
ภาวะตลาดหุ้นไทยถูกแรงกดดันจากกระแส Fund Flow ที่ยังคงไหลออกต่อเนื่อง หลังคาดการณ์นโยบายของนายทรัมป์จะกระตุ้นเศรษฐกิจและเงินเฟ้อให้ขยายตัวขึ้น อีกทั้งไม่มีปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุนหลังงบQ3/59 ประกาศครบแล้ว ดังนั้นประเมินว่า SET จะอ่อนตัวลงโดยมีแนวรับระยะสั้นที่ 1,460 – 1,465 จุด
กลยุทธ์การลงทุน รอซื้อช่วงอ่อนตัวแบบ Selective Buy
- กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คมนาคมเตรียมเสนอ Action Plan ปี 60 รวม 30 โครงการมูลค่า 6 แสนล้านลบ.เข้าครม.
- กลุ่มส่งออก ได้อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าล่าสุด 35.47 Bath/USD.
- TTA PSL ค่าระวางเรือทำ High ในรอบ 1 ปีล่าสุด 1,065 จุด
Analyst Meeting
BCPG ราคาปิด 14.10 บาท
- ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังการผลิตรวม 196 MW แบ่งเป็นในประเทศไทย 118 MW และในประเทศญี่ปุ่น 26.1 MW และมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 221.9 MW แบ่งเป็นในประเทศไทย 3 โครงการกำลังการผลิตรวม 12 MW และประเทศญี่ปุ่น 11 โครงการกำลังการผลิตรวม 209.9 MW
- รายงานกำไร 3Q59 ที่ 364.85 ล้านบาทลดลง 30%YoY 9M59 กำไร 1,215 ลบ. -26%YoY เนื่องจากค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เฉลี่ยปี 58 อยู่ที่ 44.38 สตางค์ต่อหน่วย แต่ค่า Ft เฉลี่ยในปี 59 อยู่ที่ -23.79 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าปรับตัวลง นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวมากดดันผลประกอบการเพิ่มเติม
- ผู้บริหารตั้งเป้ามีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,000 MW ภายในปี 63 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 418 MW โดยจะเน้นขยายโรงไฟฟ้าพลังงานแงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นหลัก (เป็นกำลังการผลิตราว 80%) นอกจากนี้ยังมองมีโอกาสเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ และโรงไฟฟ้าชีวะมวลเพิ่มเติม
หุ้นมีข่าว
- SYNTEC (ราคาปิด 4.12 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 5.1) รายงานกำไรไตรมาส 3/59 ที่ 276.39 +16%QoQ และ+42%YoY โดยปัจจัยหลักมาจากรายได้ที่เติบโตขึ้น 12%QoQ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 17.7%ในไตรมาสก่อนเป็น 20% และสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวลงจาก 7.2 %เหลือเพียง 6.5%ของรายได้ก่อสร้าง
- CK (ราคาปิด 30.25 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 38) รายงานกำไร 3Q59 ที่ 328 ล้านบาทเติบโต 16%YoY แต่ลดลง 67%QoQ เนื่องจากในไตรมาส 2 มีการรับรู้งานจากการสร้างเขื่อนไซยะบุรีส่วนเพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวขึ้นเนื่องจากมีการโอนย้ายบุคลากรเข้าสำนักงานใหญ่
- SPALI (ราคาปิด 23.50 บาท ซื้อ ราคาเหมาะสม 27.40 บาท) แจ้งกำไร 3Q59 เท่ากับ 847 ลบ. -17%yoy -41%qoq ในช่วง 9M59 มีกำไรสุทธิ 3,679 ลบ. +27%yoy
ความเห็น : ทิศทางกำไร Q3 เป็นไปตามที่คาดคือลดลง yoy และ qoq โดยต่ำกว่าคาด 12% และอ่อนแอที่สุดรายไตรมาสในปีนี้ กำไร 9M59 คิดเป็น 75% ของประมาณการปีนี้ที่ราว 4.9 พันลบ. ทั้งนี้ จากที่คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน Q4 ที่จะมีคอนโดฯสร้างเสร็จและเริ่มโอน ุ6 โครงการมูลค่ารวม 8,200 ลบ.และมียอดขายรอโอน (backlog) ที่จะโอนราว 4,700 ลบ. ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 59 ตามเดิม
- CPF (ราคาปิด 29 บาท ราคาเหมาะสม consensus เฉลี่ย 39 บาท) ผู้บริหารเปิดเผยในงาน Analyst Meeting ว่า 9M59 มีกำไรสุทธิ 12,965 ลบ.+36%yoy อัตรากำไรสุทธิปรับดีขึ้นเป็น 3.8% จาก 3% ใน 9M58 EBITDA margin เพิ่มขึ้นสู่ 10.3% จาก 6.1% ใน 9M58 เนื่องจากธุรกิจกุ้งในประเทศพลิกฟื้นและธุรกิจสัตว์บกในต่างประเทศที่ทำกำไรได้ดี ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง กำไร 9M59 สูงกว่ากำไรทั้งปี 58 ราว 17% บริษัทตั้งงบลงทุน 5 หมื่นล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยยังเดินหน้าใช้ M&A เพื่อเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้การผลิตเพื่อขายในประเทศที่เป็นฐานการผลิตเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลดี ปีนี้มีดีลซื้อกิจการแล้วรวม 6 ดีลมูลค่ารวมราว 7.4 พันลบ. ภายในปลายปีนี้อาจเห็นดีลเกิดขึ้นอีก ผลประกอบการ Q4 มีแนวโน้มอ่อนตัวที่สุดรายไตรมาสเป็นประจำทุกปี แต่ฐานกำไร 4Q58 ที่ต่ำเพียง 1,549 ลบ.ทำให้คาดแนวโน้มกำไร Q4 เพิ่มขึ้น yoy ลดลงqoq
- ประเด็นบวก PTTEP (ราคาปิด 78.50 แนะนำ “ถือ” ราคาเหมาะสม 86) มีเป้าหมายจะรักษาปริมาณขายปิโตรเลียมปี 60 จะอยู่ในระดับเดียวกับปีนี้ที่คาด 3.22 แสนบาร์เรล/วัน จากปริมาณการผลิตของแหล่งปิโตรเลียมที่มีอยู่ ขณะที่ยังไม่มีการผลิตจากแหล่งใหม่เพิ่มเติม แต่ยังคงมองหาโอกาสการเข้าซื้อกิจการ (M&A) แหล่งปิโตรเลียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมี 3-4 ดีลที่รอผลสรุปอยู่และน่าจะรู้ผลได้อย่างเร็วในช่วงต้นปี 60
- ประเด็นบวก PTT (ราคาปิด 327 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 372) เผยก่อสร้างสถานีรับ-จ่าย LNG เดินหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จต้นปี 60 เตรียมสร้างส่วนต่อขยายปี 62
- ประเด็นบวก TOP (ราคาปิด 71.50 แนะนำ “ถือ” ราคาเหมาะสม 76) รับข่าวดี “ลาบิกซ์” เซ็นสัญญาขายสาร LAB กับยูนิลีเวอร์ ฟากผู้บริหารลั่น ถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญ มั่นใจความต้องการใช้สินค้าในตลาดเติบโตต่อเนื่อง (ที่มาข่าวหุ้น)
- ประเด็นบวก ACAP เตรียมปรับเพิ่มเป้าสินเชื่อปีนี้จากเดิม 2 พันลบ.หลัง 10 เดือนแรกปล่อยพุ่งทะลุไป 3.8 พันลบ.
- ITD ได้งานใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 416.33 ลบ.
- ORI แจ้ง 3Q59 มีกำไรสุทธิ 158 ล้านบาทเพิ่มขึ้นราว 5 เท่าตัวจาก 3Q58 ส่งให้กำไรสุทธิ 9M59 เติบโต 22% เป็น 320 ล้านบาท บริษัทประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้นอัตราส่วน 1.5 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ อัตราการจ่ายปันผลเป็นหุ้น (บาทต่อหุ้น) 0.3333 บาท และจ่ายเงินสดปันผล 0.0333 บาทต่อหุ้น รวมเป็นอัตราการจ่ายปันผลรวม 0.3666 บาทต่อหุ้น โดยเพิ่มทุนจำนวน 442.6 ล้านหุ้นเพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผลและการปรับสิทธิ ESOP warrant กำหนด XD 24 พ.ย.
- MSCI ประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออกในการคำนวณดัชนีมีผลบังคับใช้ 30 พ.ย. ได้แก่ MSCI Thailand เพิ่ม - BJC, KCE ออก – ไม่มี / MSCI Global Small Cap เพิ่ม - COM7, MALEE, TKN, TFG ออก – ASP, BJCHI, CBG, COL, CGD, DNA, KCE, ROJNA
ตลาดหุ้นดาวโจนส์ +21.03 จุด
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,868.69 จุด เพิ่มขึ้น 21.03 จุด หรือ +0.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,218.40 จุด ลดลง 18.71 จุด หรือ -0.36% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,164.20 จุด ลดลง 0.25 จุด หรือ -0.01%โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และ S&P500 ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก
ตลาดน้ำมัน NYMEX -0.09 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 43.32 ดอลลาร์/บาร์เรลเนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตในการประชุมวันที่ 30 พ.ย.ได้หรือไม่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังจากมีรายงานว่า การผลิตน้ำมันประจำเดือนต.ค.ของโอเปกพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์