ทรีนีตี้แนะลงทุนหุ้น'กลาง-เล็ก'หลังฟันด์โฟลว์ผ่านจุดสูงสุด

ทรีนีตี้แนะลงทุนหุ้น'กลาง-เล็ก'หลังฟันด์โฟลว์ผ่านจุดสูงสุด

บล.ทรีนีตี้ แนะลงทุนหุ้น"กลาง-เล็ก"หลังฟันด์โฟลว์ผ่านจุดสูงสุด หุ้นขนาดใหญ่มีโอกาสถูกปรับลดประมาณการ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดทุนหุ้นไทยในช่วงหลังกลางเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์ที่น่าสนใจจากการปรับตัวขึ้น (Outperform) ของราคาหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ชนะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างชัดเจน โดยหากนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2559 พบว่า ดัชนีหุ้น ให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 6.6% เมื่อเทียบกับ SET50 ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.7% เท่านั้น

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กนี้มีโอกาสสูงที่จะปรับตัว Outperform ต่อไปอีกจนถึงช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่จะเผชิญปัจจัยกดดันที่สำคัญ ได้แก่ ประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีโอกาสถูกปรับลดจากแนวโน้มการตั้งสำรองฯที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง โดยถึงแม้ว่าประมาณการของกลุ่มพลังงานจะมีโอกาสถูกปรับขึ้น แต่มองว่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้  

ขณะที่การไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund flow) มองว่าได้ผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วในช่วงไตรมาส 3/2559 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะชะลอลงนับจากนี้ จากแนวโน้มการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) รัฐบาลสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากขณะนี้ตลาดยังคงให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเดือนธันวาคมเพียงแค่ 70% เท่านั้น

นอกจากนั้นยังคาดการณ์ผลกระทบจากการไหลเข้าของเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงปลายปีนี้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว ประกอบกับการขยายระยะเวลาการถือครองกองทุนแอลทีเอฟ จากเดิม 5 ปีปฏิทินไปเป็น 7 ปีปฏิทิน มีผลทำให้นักลงทุนลดความน่าสนใจในการเข้าซื้อกองทุนดังกล่าว 

ปัจจัยสุดท้าย คาดการณ์เม็ดเงินจากกองทุนแอลทีเอฟ ที่จะถูกไถ่ถอนในช่วงต้นปี 2560 มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 15% ของยอดซื้อกองทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปี 2556 (นับ 5 ปีปฏิทินก่อนหน้า) ซึ่งมีผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่โดยตรงเพราะถือเป็นกลุ่มหุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองของกองทุนมากที่สุด 

จากการคำนวณต้นทุนของผู้ที่ได้เข้าซื้อกองทุนแอลทีเอฟ ไปเมื่อปี 2556 พบว่า มีต้นทุนการเข้าซื้อเฉลี่ยที่ระดับดัชนีหุ้น 1,406 จุด ซึ่งคิดเป็นกำไรจากการถือครองแล้ว 6.7% ที่ระดับดัชนี 1,500 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เน้นเข้าลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Upside จากระดับราคาปัจจุบัน ได้แก่ GL, JMT, COM7, JMART, ALT, INET,  PYLON, SEAFCO, TTCL, SCI, TPCH, ANAN และ RML