Piggipo ยิ่งล้มยิ่งโต

ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ จากปัญหาใหม่ๆ เท่านั้น ไม่ควรจะล้มเหลวจากปัญหาเดิมๆ
ใครว่าความสำเร็จเกิดขึ้นโดยง่าย
เพราะกว่าจะเป็น “เจ้าหมูตัวเขียว” ชื่อ Piggipo ที่ยิ้มร่าเริงสดใสในวันนี้ได้ เรียกว่าต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก
แม้เป้าหมายการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการจะเกิดขึ้นเมื่อครั้งตัดสินใจเลือกเรียนในคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ภาพชัดของเส้นทางการทำธุรกิจกลับเริ่มขึ้นจริงๆ ตอนเรียนปี 4 หลักสูตร 5 ปี (ตรี-โท)
“ตอนนั้นอ่านหนังสือพี่กระทิง ชื่อ บทเรียนธุรกิจร้อนๆ จาก Silicon Valley เป็นเล่มแรกที่พี่กระทิงเขียน เจอแล้วก็อ่านๆ ทำให้เจอว่าโลกนี้มีคำว่าสตาร์ทอัพด้วย ซึ่งตอนนั้นไทยยังไม่มีใครรู้จักคำนี้เท่าไหร่เลย ทำให้รู้สึกว่าสตาร์ทอัพเพราะเป็นธุรกิจที่ช่วยเหลือคนได้เยอะดี ทำให้สรุปได้เลยว่าเราจะทำ”
สุพิชญา สูรพันธุ์ ซีอีโอ บริษัท Neversitup จำกัด ผู้ร่วมก่อตั้ง Piggipo (พิกกิโปะ) แอพพลิเคชั่นจัดการบัตรเครดิตย้ำถึงเส้นทางจากจุดเริ่มต้น Piggipo
จากนั้นก็มานั่งคิดว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายก็เริ่มจากเห็นปัญหาของคนใกล้ตัว รวมถึงตัวเองที่เริ่มเข้าไปอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้บัตรเครดิต
“จริงๆ ปัญหาของคนใช้บัตรเครดิต เกิดจากญาติที่เป็นหนี้บัตรเครดิตหลักล้าน มีความทุกข์มากยังไง ลำบากยังไง ร้องไห้ยังไง ก็เห็นมาตลอด แล้วก็รู้สึกว่าไม่อยากเป็นหนี้อีกแล้ว อีกทัั้งประสบการณ์ตัวเองที่เคยเป็นหนี้บัตรเครดิตทำให้คิดว่าหากมีเครื่องมืออะไรบ้างที่เข้ามาช่วยคนในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เกิดจากบัตรเครดิตได้ก็คงจะดี"
แต่แค่ก้าวแรกก็เจอโจทย์ยาก
เพราะแค่คิดจะทำแอพพลิเคชั่นช่วยบันทึกเกี่ยวกับการบริหารบันทึกรายรับรายจ่าย แต่ก็พบว่าแม้จะมีความรู้ที่เรียนมาทางด้านบัญชี กลับขาดในเรื่องของเทคโนโลยีซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญ
“มองไปเพื่อนใกล้ๆ ตัวก็ไม่มีใครเรียนสายเทคโนโลยีเลยสักคน ตอนนั้นกำลังทำ thesis จบโทอยู่ ก็ตัดสินใจไปลองเขียนโค้ดเอง เพราะคิดว่าถ้าจะทำธุรกิจสายนี้ ไปเรียนก็น่าจะลองเขียนโค้ดเองได้ ซึ่งต้องใช้เวลามากถึง 6 เดือนในการเรียนและเขียนออกมาเป็น prototype เวอร์ชั่นแรก
รู้สึกว่าตัวเองทำงานช้ามากเลย ทุกวันที่เขียนก็ร้องไห้ เพราะมันยาก ถ้าเทียบกับให้โปรแกรมเมอร์เขียนคงใช้เวลาเดือนหนึ่งหรือเดือนครึ่งแต่เรากลับทำถึง 6 เดือน”
เรียกว่าเป็น 6 เดือนที่เต็มไปด้วยความกดดัน กับการสร้างแอพตัวแรก และเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกกดดันจากคนรอบข้าง
“ตอนนั้นจบโทแล้ว พอบอกทางบ้านว่าจะทำสตาร์ทอัพ แม่ กับ พี่สาวก็บ่น มีพ่อคนเดียวที่เข้าใจ เราก็ขอว่าจะไม่ไปสมัครงานเพราะอยากลองตรงนี้ก่อน ในขณะที่เพื่อนๆ เริ่มที่จะได้งานทำกันแล้ว”
ทันทีที่ Piggipo เวอร์ชั่นแรกออกมาก็เริ่มมองหาทีม
“มีคนแนะนำให้รู้จักกับ พี่ปอ พงศ์ชัย ตั้งบวรวีรกุล ซึ่งเก่งเรื่องเทคโนโลยี เป็นโปรแกรมเมอร์ตั้งแต่ปี 1 แต่ไม่มีความรู้ด้านธุรกิจเลย จากนั้นก็มาเจอกับทราย
ศิราธร ธรรมประทีป ที่เคยเป็นมาร์เก็ตติ้ง ทำเรื่องแบรนดิ้งมาก่อน พอรวมทีมกันได้ก็ค่อยๆ ปรับโปรดักท์ และเปิดตัว พบว่ามี ยูสเซอร์มากถึง 4,000 คน ฟีดแบ็คค่อนข้างดี ยูสเซอร์แฮปปี้มาก ส่วนใหญ่เป็นคนทำงานทิ่เริ่มมีภาระ พอมาใช้แอพนี้ทำให้คุมรายรับรายจ่ายได้”
จากนั้นประมาณ มีนาคม 2014 สุพิชญา ก็พา Piggipo เข้าร่วมโครงการ dtac accelerate batch 2
“ปีนั้นสตาร์ทอัพมีประมาณ 100 กว่าราย เราเป็น 1 ใน 5 เทียบกับปีนี้มีสตาร์ทอัพสมัครมากถึง 500 แต่รับแค่ 60 รายเท่านั้น เห็นได้ว่าการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าเราโชคดีที่มาเร็วกว่าคนอื่น
แล้วที่ภูมิใจยิ่งกว่า ในตอนที่พรีเซ็นต์ได้เชิญ พี่กับแม่ มานั่งฟังด้วย วันที่ชนะก็เหลือบไปเห็นทั้งสองคนร้องไห้ ตอนนั้นรู้สึกดีใจที่ตัวเองทำได้แล้วทำให้เค้าภูมิใจ”
ภายหลังเปิดตัวเวอร์ชั่นแรกไป สิ่งที่ทำให้ Piggipo อาจถึงกลับต้องสะดุดลงมาจากการบริหารงานล้วนๆ
“พอเข้าโครงการดีแทค เราก็เริ่มรับพนักงาน รับคนมาช่วยพี่ปอ รวมทีมได้ 5 คน ตอนนั้นเราก็ยังไม่มีประสบการณ์บริหารซอฟต์แวร์เฮ้าส์มาก่อน ยกตัวอย่าง โปรแกรมเมอร์บอกว่าต้องเสร็จใน 3 เดือน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆ สามารถทำเสร็จด้ใน 2 เดือนมั้ย ก็ไม่เคยคิดแม้แต่จะถาม ไม่เสร็จก็เลื่อนออกไปแล้วมา plan กันใหม่
จากศาสตร์ที่เรียกว่า “P-D-C-A” หรือ Plan do check act ย้อนไปในตอนนั้นจะเห็นว่าเราทำแค่ plan do แล้วก็ plan do ไม่เคยเช็คตัวเองว่าทำไมถึงทำไม่ได้ แล้วไม่เคยถามว่าทำไมคุมคน คุมงานให้เดินตามแผนไม่ได้ พอโปรดักท์ไม่ได้ มาร์เก็ตติ้งก็กลายเป็นว่าต้องรอ”
ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการทำงานในช่วงเวอร์ชั่น 2 ทำให้ทุกคนในทีมต้องกลับมานั่งคิด และพิจารณากันใหม่ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกันดี
“พอเป็นสตาร์ทอัพเราถูกบีบให้ทำอะไรต้องเร็ว เราก็เร่งทำโดยที่ไม่ได้ถามยูสเซอร์ให้ดีว่าถ้าเปลี่ยนจากออฟไลน์เป็นออนไลน์แล้วแฮปปี้มั้ย พอปล่อยไปฐานข้อมุลในเครื่องออฟไลน์ กับออนไลน์มันแตกต่างกัน เพราะข้อมูลยูสเซอร์เป็นหมื่นมีความหลากหลายมากของข้อมูล ปรากฎว่าข้อมูลหายไป 50%”
จากนั้นก็เริ่มมาจัดกระบวนทัพกันใหม่ ข้อมูลที่เคยหายไปกว่าครึ่งจากที่เคยอยู่แต่ในออฟไลน์แล้วปรับมาเป็นออนไลน์ ในวันนี้การใช้งานทำได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ในแบบกึ่งออฟไลน์
“เวอร์ชั่น 3 เราเอา UX มาใช้มากขึ้นเพื่อการใช้งานที่ง่ายกว่าเดิม สามารถอัพรายการโดยที่ไม่ต้องพึ่งอินเตอร์เน็ต เมื่อไหร่ที่ออฟไลน์ก็ทำได้ข้อมูลก็อยู่ในเครื่อง เมื่อไหร่ที่มีอินเตอร์เน็ตข้อมูลจะขึ้นไปให้ทันที
สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ลูกค้าเริ่มกลับมาแต่แล้วก็ต้องเจอกับปัญหาใหม่ คราวนี้สิ่งที่เจอคือ เงินหมด ระบบภายในนิ่งแล้ว บริหารงานเป็น บริหารเงินเป็น คุมโปรดักท์เป็น แต่ปรากฎว่าเงินหมดเกลี้ยง แล้วระดมรอบถัดไปก็ไม่ได้”
สุดท้ายก็กลับมานั่งถามตัวเอง ว่าจะเอายังไงดี จะไปต่อดีมั้ย
“มานั่งถามตัวเองว่า เราผิดพลาดอะไร คำตอบหนึ่งที่ได้คือ เราบริหารไม่เป็น ซึ่งตอนนี้เราบริหารเป็นแล้วยังอยากที่จะอยู่ต่อ ยังอยากที่จะลองเดิมพันกับมันต่ออยู่
เพราะในที่สุดก็พบว่า ไม่ใช่เพราะโปรดักท์ไม่ดีไม่ Fit กับตลาด แต่เราเองต่างหากที่บริหารงานภายในได้ไม่ดี ทำให้เงินหมดก่อนเวลาอันควร จากนั้นก็ไปขอยืมเงินคุณพ่อที่เกษียณแล้วเอามาใช้จนกว่าจะถึงจุดที่ระดมทุนรอบใหม่ได้ คาดว่าใช้เวลา 6 เดือน พร้อมกับบอกทีม ว่าถ้าผ่านช่วงนี้แล้วไปไม่รอดแล้วก็เจ๊งนะ”
จนถึงวันนี้ Piggipo ก็ผ่านมาได้ถึงเวอร์ชั่น 4 มีการระดมทุนเข้ามาเพิ่ม เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการเชื่อมต่อกับออนไลน์แบงกิ้งได้
“วันนี้มีการลงทุนเข้ามา จากการที่เราพิสูจน์ให้เห็นว่าทำได้ ก็เลยรอดจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เริ่มขยายขอบเขตมากขึ้น จากฐานบัตรเครดิตที่ต้องบันทึกเองเท่านั้นมาเป็นเชื่อมกับออนไลน์แบงกิ้ง
รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะนำมาซึ่งรายได้ อาทิ In-app purchase และการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ดูว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับยูสเซอร์ เรียกว่าเป็นการขยายขอบเขตการทำงานมากขึ้น ในรูปแบบของการเป็นช่องทางการตลาดให้กับแบงก์”
หากนับจากเริ่มไอเดียถึงวันนี้ Piggipo เดินทางมาแล้ว 3 ปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ สุพิชญา บอก สตาร์ทอัพไม่ใช่สำเร็จได้ง่ายๆ ทุกอย่างต้องฝ่าฟัน
หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำใน 2 ข้อหลักๆ
ข้อแรก คุณต้องมี passion มากจริงๆ ที่จะทำในเรื่องนั้นๆ
อีกทั้งยังต้องอยากแก้ปัญหานั้นจริงๆ ให้ได้ แล้วต้องทำใจว่าต้องอยู่กับปัญหานั้นๆ ไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี
“ไม่ใช่ทำปุ๊บ 3 เดือนขาย ตลาดในไทยไม่เหมือนตลาดอเมริกา ในไทยต้องใช้เวลา ต้องอดทน ทำใจไว้เลยว่าต้องมีอุปสรรคแน่ๆ”
ข้อสอง เป็นข้อสิ่งที่เรียนรู้มาตลอดทาง ก็คือคุณสมบัติของแมลงสาบ
“ทุกๆ ครั้งที่เราล้ม หรือทุกครั้งที่เจออุปสรรค เราต้องเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นให้ได้ ถามตัวเองว่าทำไมถึงล้มเหลว แล้วทำอย่างไรถึงจะไม่ล้มที่เดิม(อีก)
เราอาจไม่ใช่คนฉลาด อย่างน้อยๆ ร้อยครั้งที่ล้มก็จะเรียนรู้จากร้อยบทเรียน อย่างน้อยเราก็ต้องเก่งขึ้น แล้วประสบความสำเร็จในสักวัน”
สุพิชญา เชื่อว่า ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ จากปัญหาใหม่ๆ เท่านั้น ไม่ควรจะล้มเหลวจากปัญหาเดิมๆ ที่สำคัญต้องเรียนรู้ให้เร็วขึ้นด้วย
สิ่งที่คนในแวดวงสตาร์ทอัพมักพูดถึงสำหรับ Piggipo ก็คือ "เหมือนจะตายแต่ก็ไม่ตาย ยังกลับมาได้อีก” สุพิชญา บอก แต่สำหรับมุมมองตัวเองแล้ว วิถีแมลงสาบ มันใช้ได้ ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่ใช้กับตัวตนของเราด้วย
ถ้าแอพไม่เวิร์ค ไม่รอด สุดท้ายบทเรียนที่ได้กับตัวเอง ทำให้วันหนึ่งเราจะสามารถลุกขึ้นมาทำสตาร์ทอัพตัวอื่นได้อีก โดยที่ไม่ได้เริ่มต้นใหม่จากศูนย์
มันคือการไม่ยอมแพ้ เพราะเป้าหมายอยู่ที่การเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จให้ได้
“ยิ่งโต ยิ่งกดดัน” สุพิชญา มองว่า series A, series B อาจไม่ใช่ความสำเร็จที่มองไว้
“เรามองที่ piggipo แก้ปัญหาให้ตัวเราเองได้แล้ว จากที่เริ่มจะเป็นหนี้ เรารอดจากการเป็นหนี้ได้ นี่คือความสำเร็จแรก”
ถัดมา อยากให้คนไทยในจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ใช้บัตรเครดิตอย่างมีความสุข
ที่ผ่านมา พบว่าหลายคนไม่ใช่บัตรเครดิต เพราะกลัว รู้สึกควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ได้ เราอยากจะเปลี่ยนทัศนคติแบบนี้ว่า จริงๆแล้วการ ใช้บัตรเครดิตให้ถูกต้องจะได้ประโยชน์
วันนี้คนไทยใช้บัตรเครดิต 8 ล้านคน เรา cover ได้ 2 แสน มองว่าตลาดยังโตได้อีกมาก
….อยากเดินไปให้ถึงจุดนั้น







