การบ้านของ ‘BentoWeb’ อีคอมเมิร์ซต้องเป็นเรื่องง่าย

 การบ้านของ ‘BentoWeb’  อีคอมเมิร์ซต้องเป็นเรื่องง่าย

“ผมไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับเราก็คือ การทำให้อีคอมเมิร์ซเป็นเรื่องง่ายได้จริงๆ ”

นั่นก็เพราะ “ณัฐเศรษฐ์ ศิรินันท์ธนานนท์” ผู้ก่อตั้งบริษัท Semantic Touch เจ้าของระบบร้านค้าออนไลน์สำเร็จรูป BentoWeb(เบนโตะเว็บ) มองเห็นแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในวันนี้และอนาคตอันใกล้จะยิ่งเฟื่องฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการชำระเงินตลอดจนระบบการขนส่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ

และแน่นอนการแข่งขันก็ต้องยิ่งรุนแรงขึ้น ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างเบนโตะเว็บเองก็คงไม่มีข้อยกเว้น


อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่าตลาดอีคอมเมิร์ซมีขนาดที่ใหญ่มาก แม้ว่าผู้เล่นจะมีจำนวนมากแค่ไหน ก็ยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับทุก ๆคน

ก่อนจะมาเป็นเบนโตะเว็บ เป้าหมายของณัฐเศรษฐ์ในการเปิดบริษัท Semantic Touch เมื่อ 8 ปีที่แล้วก็คือ ต้องการช่วยเหลือเอสเอ็มอีด้วยวิถีการตลาดและเทคโนโลยีสมัยใหม่


"แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่คาดหวังกลับเป็นบริษัทขนาดใหญ่ จนเป้าหมายเริ่มบิดเบี้ยวไป ผมเลยคิดคอนเซ็ปต์เบนโตะเว็บเพื่อให้เอสเอ็มอีใช้บริการ เพราะมองว่าความช่วยเหลือนี้ตรงประเด็นตรงเป้ามากที่สุด คือเราจะช่วยให้เขาขายของ ช่วยให้เขามีรายได้ เราเลยเลือกทำระบบอีคอมเมิร์ซขึ้นมา"


ส่วนแรงบันดาลใจจนกลายเป็นที่มาของเบนโตะเว็บ มาจากเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว คือเขามองเห็นโอกาสที่จะทำให้เฟสบุ๊กแฟนเพจกลายมาเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเขารู้ว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรับรู้และเข้าใจว่าโชเชียลมีเดียมีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร แต่ถ้าให้ต้องนับหนึ่งเองเป็นเรื่องที่ยาก


"การจะตั้งธงทำอีคอมเมิร์ซจริงๆแล้วทำได้หลายแบบ แต่เราเลือกทำซอฟท์แวร์ระบบร้านค้าออนไลน์สำเร็จรูปและถ้าทำเป็นเว็บไซต์จะไม่มีความแตกต่าง เราจึงเลือกเริ่มต้นด้วยเฟสบุ๊ค"


ซึ่งผู้ประกอบการก็ตอบรับเบนโตะเว็บในระดับที่น่าพอใจ ทำให้มีแรงใจในการทำต่อ ณัฐเศรษฐ์ บอกว่าทุกๆวัน เขาจะพยายามคิดหาทางขยายความสามารถของเบนโตะเว็บให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


"จนตอนนี้เรามีบริการพีโอเอส มีบริการแชทบอทช่วยปิดการขายให้กับผู้ประกอบการ พอเราทำพวกนี้เสร็จก็กลับเห็นว่ามันยังไม่พอที่จะทำให้อีคอมเมิร์ซง่ายขึ้นจริง เราจึงเปิดบริการถ่ายรูปสินค้าให้กับผู้ประกอบการฟรีเป็นการถ่ายรูปแบบแพ็คชอทหน้าหลัง ถ่ายบนฉากขาว มีการไดคัท มีการรีทัช สรุปทั้งหมดก็คือ เราจะทำเรื่องยากๆของผู้ประกอบการให้เป็นเรื่องง่าย ถ้ารู้ว่าผู้ประกอบการมีความลำบากตรงไหน เราจะหาทางทำความลำบากนั้นๆให้มันง่ายขึ้น "


ซึ่งมิติคำว่าง่ายสำหรับตัวเขานั้น มีอยู่ในทุกๆมิติ ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การจัดการ กระทั่งในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ แต่ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ภาพเบนโตะเว็บเป็นโซลูชั่นที่ผู้ประกอบการทุกคนมองเห็นว่าอีคอมเมิร์ซเป็นเรื่องง่ายได้อย่างแท้จริง


ถามว่าแล้วเบนโตะเว็บช่วยแก้ไขความยากของลูกค้าได้ทั้งหมดหรือยัง? ได้รับคำตอบว่าเวลานี้ถือว่ามีระบบร้านค้าออนไลน์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และวางแผนจะเปิดแวร์เฮ้าส์ขนาด 800 ตรม.ย่านสะพานควายเพื่อช่วยผู้ประกอบการในการแพ็คและส่งของ ทำให้ระบบและการบริการดีและง่ายยิ่งขึ้นไปอีก


"ในความรู้สึกของผม ธุรกิจออนไลน์เป็นเรื่องของการบริหารจัดการคน การพูดคุย การรับเงิน การจัดส่ง การดูแลลูกค้า ในเรื่องการรับชำระเงินสิ่งที่เราทำไปแล้วก็คือเราเชื่อมต่อกับเพย์เมนท์เกตเวย์ หรือวิธีการชำระเงินชั้นนำของไทยไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนแผนการเปิดแวร์เฮ้าส์เกิดจากผมกับทีมมองเห็นว่าเพียงแค่ซอฟท์แวร์คงไม่อาจตอบโจทย์ความง่ายได้"


ณัฐเศรษฐ์บอกว่าบนเส้นทางเดิน ช่วยสร้างการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทั้งยังต้องพบเจอกับปัญหาและต้องคิดหาทางแก้ไขตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เมื่อแก้ไขปัญหาหนึ่งจบก็มักเจอกับปัญหาใหม่ เช่นเมื่อเปิดบริการช่วยถ่ายรูปเสร็จที่สุดก็พบว่ายังมีปัญหาเรื่องการแพ็คของการส่งของซึ่งผู้ประกอบการมองว่ายุ่งยาก ก็เลยต้องคิดหาทางเปิดแวร์เฮ้าส์ขึ้นมาช่วยทำให้มันง่ายขึ้น


ถามถึงวิธีการ “ถอดโจทย์” คำว่า “ง่าย” ว่าทำได้อย่างไร เขาบอกว่า ต้องอาศัยความรู้จากการเล่าเรียน การอ่านหนังสือ ประสบการณ์จากการทำงานจริง รวมถึงการที่ได้ลงฟิลด์เข้าไปช่วยลูกค้าขายสินค้าจริงๆ เพราะจะทำให้ได้เห็นว่ายังหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ ทั้งยังต้องคอยสอดส่องพฤติกรรมของลูกค้าตลอดจนเทคโนโลยีที่มันพัฒนาก้าวหน้าแทบทุกวินาที นอกจากนั้นก็ควรไปเรียนรู้ความสำเร็จของคนอื่นๆว่าเขาทำกันอย่างไรอีกด้วย


ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่าเวลาที่คิดจะส่งสินค้าหรือบริการอะไรออกไปในตลาด มันจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน


"กว่าทีมเบนโตะเว็บของเราจะปล่อยอะไรสักอย่างเข้าไปในระบบ บอกเลยว่าทำไป 5 แล้วต้องทิ้งเสีย 4 ถ้าไม่ตอบโจทย์ได้จริงๆก็จะทิ้งไป บางอย่างทำเสร็จแล้วเราก็ไม่ปล่อยเพราะเห็นว่ามันแค่ตอบโจทย์ความต้องการของเราเอง"


ทว่าโลกของธุรกิจไม่ได้มีเพียงความง่ายความยาก แต่ยังมีเรื่องของ “ความน่าเชื่อถือ” ซึ่งณัฐเศรษฐ์ยอมรับว่าธุรกิจขนาดเล็กมักจะสร้างเรื่องนี้ขึ้นเองไม่ได้ การสร้างชื่อของ Semantic Touchและเบนโตะเว็บต้องอาศัยร่มเงาของบริษัทใหญ่ แบรนด์ใหญ่


"สิ่งที่ผมทำก็คือหาโซลูชั่นจากพาร์ทเนอร์จากที่เคยใช้เซิฟเวอร์ตัวเองก็เปลี่ยนไปใช้คลาวด์ของไมโครซอฟท์ และก็เอาเบนโตะเว็บเข้าโครงการเอไอเอสเดอะสตาร์ทอัพ ตอนนั้นเอไอเอสถือว่าเป็นบริษัทแรกที่สนับสนุนผู้ประกอบการเทคสตาร์ทอัพ ผมเลยสมัครเข้าไปเป็นเทคสตาร์ทอัพในกลุ่มของเขา ผมมั่นใจว่าคนที่ผมคุยด้วยพอเขาได้ยินชื่อเอไอเอส เขาจะรู้จักและช่วยทำให้ตัวเราใหญ่ขึ้น" 

สุดท้ายแล้วเป้าหมายใหญ่เบนโตะเว็บคืออะไร ณัฐเศรษฐ์ตอบว่าที่อยากจะทำ ก็คือการคอนเน็กลูกค้า และคอนเน็กร้านค้าทั่วเอเชีย โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเออีซี เวลานี้ระบบของเบนโตะเว็บสามารถรองรับภาษาไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ส่วนพม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชาก็กำลังจ่อรอคิวเปิดเพิ่มขึ้นในเร็วๆนี้


โดยแผนการขยับขยายของเขาจะเกิดขึ้นในรูปแบบ “ช้าแต่ชัวร์” ฟันธงว่าเบนโตะเว็บไม่คิดจะเรสฟันด์เพื่อโตเร็วๆ และอาจแย้งกับวิถีของสตาร์ทอัพ


“ผมเป็นคนค่อยๆคิดค่อยๆทำ พอทำอะไรเร็วๆ ผมมักจะพลาดเป็นส่วนใหญ่” คือเหตุผลของเขา



แมวสีอะไรก็ได้ บนเป้าหมายเดิม


เป้าหมายต้องการช่วยเหลือเอสเอ็มอีของ Semantic Touch ในวันนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม ธุรกิจดั้งเดิมคือคิดหาโซลูชั่นที่ทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเกิดประสิทธิภาพก็คงยังเดินหน้า และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เบนโตะเว็บเองก็เดินเครื่องเดินคู่ขนานมาด้วยกัน


แต่ณัฐเศรษฐ์ มองว่านอกจากอีคอมเมิร์ซแล้ว มีอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจก็คือธุรกิจการท่องเที่ยว จึงเปิดโปรเจ็คที่ชื่อ “theTripPacker” (เดอะทริบ แพ็คเกอร์) ซึ่งผ่านเข้ารอบ 5 ทีมสุดท้ายของโครงการเอไอเอส ในปี2013


“เดอะทริบ แพ็คเกอร์จะทำหน้าที่เป็นสื่อสำหรับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว มันคือชุมชนของคนชอบท่องเที่ยวในประเทศไทย”


โดยช่วงเริ่มสตาร์ทเขาก็ไปรวบรวมสมัครพรรคพวก ที่เป็นช่างภาพ นักเขียน รวมถึงส่งทีมงานออกไปไปค้นหาสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรมและก็ร้านอาหารที่น่าสนใจมาเขียนรีวิว เป็นการนำเสนอในเชิงเดี่ยว และก็มีความคิดว่าจะทำเดอะทริบ แพ็คเกอร์ให้เป็นโซเชี่ยลมีเดียมาตั้งแต่ต้น


"เอไอเอสเห็นว่าคอนเซ็ปต์ของโซเชี่ยลมีเดียน่าสนใจทำให้เราผ่านเข้ารอบ พอจบโครงการเราก็เปิดตัวเดอะทริบ แพ็คเกอร์ในฐานะของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค เดิมเรามียอดฟอลโล่เวอร์อยู่บนเพจประมาณ 3 หมื่นก็กระโดดไป 1 แสนทันที เพราะก่อนหน้าเราได้สร้างความรับรู้แล้วว่าเราเป็นใคร เราคุยเรื่องอะไร ผมคิดว่าการท่องเที่ยวไทยไม่ควรเป็นของคนใดคนหนึ่ง แต่ควรเป็นของทุกๆคน ที่ต้องช่วยๆกันแชร์ ช่วยๆกันเตือน ช่วยๆกันบอก"


บิสิเนสโมเดลของเดอะทริบแพ็คเกอร์ก็เหมือนกับเฟสบุ๊ก คือมีรายได้จากยอดโฆษณา และค่าคอมมิชชั่นจากการเชื่อมประสานลูกค้าให้เจอกับผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นสูตรที่จะวินวินด้วยกันทุกฝ่าย