เอ็นพีเอพุ่งตามหนี้เสีย ‘กรุงไทย’จัดกองขายยกล็อต

“แบงก์” เร่งแก้เอ็นพีแอลดันยอดสินทรัพย์รอขายพุ่ง กรุงไทยเร่งจัดกองเอ็นพีเอประมูลขายยกล๊อต ขณะบัวหลวงลดราคา-เงินดาวน์จูงใจ
นายชัยชาญ พลานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่ม กลุ่มบริหารทรัพย์สินพร้อมขาย ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีสินทรัพย์รอขาย หรือเอ็นพีเอ 2.85 หมื่นล้านบาท ในสิ้นปีคาดจะเพิ่มมาอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท หรือกรณีเลวร้ายอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เอ็นพีเอที่เพิ่มขึ้นมาจากการแปลงทรัพย์ชำระหนี้ของลูกหนี้เอ็นพีแอล ที่ธนาคารเร่งปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อแก้ปัญหาเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเอสเอ็มอีรวมถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก
ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าระบายเอ็นพีเอ 6.4 พันล้านบาท โดยครึ่งแรกของปียังระบายเอ็นพีเอได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย หรืออยู่ที่ 3 พันล้านบาท จากเป้าครึ่งปีที่ 3.2 พันล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การเร่งระบายเอ็นพีเอช่วงครึ่งหลัง ยอมรับว่า สถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้การขายปลีกอาจจะไม่ทัน ดังนั้นธนาคารจะปรับมาคัดทรัพย์แต่ละท้องที่ เพื่อแบ่งเป็นกอง กองละ 200-300 ล้านบาท ก่อนจะเปิดประมูลให้นักลงทุนในภาคเหนือและใต้เช่นเชียงใหม่และภูเก็ตในอีก 3 เดือนข้างหน้า
“หากขายปลีกอาจช้า เพราะคุณภาพลูกหนี้ใหม่ ที่เข้ามาซื้อทรัพย์ยังไม่แข็งแรงพอ รายได้ลูกค้าไม่ถึงขณะที่แบงก์ก็ระมัดระวังการให้สินเชื่อใหม่ จึงยากจะขายทรัพย์แบบรายปลีก จึงต้องปรับมาขายยกเข่ง”
นอกจากนั้น จะคัดทรัพย์ที่ถือครองมานานใกล้ครบเวลาที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดในปี 2560-2561 ขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์(เอเอ็มซี) ทั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์(บสก.) และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท(บบส.สุขุมวิท) ซึ่งในปีนี้ธนาคารจะขายเอ็นพีเอให้เอเอ็มซีมากขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา ธนาคารคัดทรัพย์ขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์แล้ว 200 ล้านบาท จากทรัพย์เอ็นพีเอที่ขายไปทั้งหมด 4,800 ล้านบาท
บัวหลวงลดราคา-เงินดาวน์จูงใจ
ด้าน นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า เอ็นพีแอลสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นหลัก โดยเอ็นพีแอลสินเชื่อบ้านในขณะนี้ยังต่ำกว่า2%จากเดิมที่1%เศษ ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าอุตสาหกรรมและสามารถจัดการได้แต่ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง
ส่วนเอ็นพีแอลที่ไหลกลับเข้ามาเป็นเอ็นพีเอมากน้อยเพียงใดอยู่ที่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้และลูกค้า ซึ่งธนาคารจะมีแพคเกจสินเชื่อให้ลูกค้าที่ต้องการซื้อเอ็นพีเอทั้งการลดราคาหรือเงินดาวน์ให้ลูกค้า
สำหรับการขยายสินเชื่อบ้านในช่วงครึ่งปีแรกเติบโต4%จากปีก่อน แต่มีสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น25%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะผลของมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่สิ้นสุดในเดือนเม.ย. ซึ่งตลาดที่โตผิดปกติในช่วง4เดือนแรกทำให้คาดว่าตลาดในไตรมาส3นี้จะค่อนข้างเงียบ
ในส่วนของธนาคารคาดว่าครึ่งปีหลัง หากยังเติบโตในระดับใกล้เคียงครึ่งปีแรก จะทำให้สินเชื่อทั้งปีโตได้ในระดับ 8% และทำให้พอร์ตสินเชื่อสิ้นปีนร่เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนล้านบาทจากปัจจุบันอยู่ที่2.24แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูงส่วนยอดอนุมัติสินเชื่อลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 60-70%
“ไตรมาสสามน่าจะเงียบหลังหมดมาตรการภาษี โดยหลังหมดมาตรการจะเห็นว่าใบสมัครใหม่เข้ามาลดลง30-40% แต่เชื่อว่าความต้องการยังมีอยู่ โดยเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จก็ต้องมีการโอนเข้ามา”







