ยุทธศาสตร์ชิงเสียง ‘ปาร์ตี้ลิสต์’ โจทย์ ‘พรรคเล็ก-ใหญ่’ โกยแต้ม

ยุทธศาสตร์ชิงแต้ม‘ปาร์ตี้ลิสต์’ - ‘พรรคเล็ก’ เบอร์เลขเดี่ยว ลุ้น สส. 1 ที่นั่ง จับตา ‘พรรคใหญ่’ แก้โจทย์เบอร์เลขคู่โกยคะแนน
KEY
POINTS
- การจับสลากเบอร์พรรคมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์หาเสียง โดยเฉพาะพรรคเล็กที่ได้เบอร์เลขหลักเดียวซึ่งมีโอกาสสูงในการได้ สส. บัญชีรายชื่อ
- สูตรคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อที่มีการ "ปัดเศษ" เป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้พรรคเล็กซึ่งได้คะแนนเสียงหลักแสนสามารถได้ที่นั่งในสภา
- พรรคการเมืองใหญ่ปรับกลยุทธ์โดยนำหมายเลขพรรคที่จับได้ ทั้งเลขหลักเดียวและสองหลัก มาสร้างเป็นแคมเปญเพื่อสร้างการจดจำและเชื่อมโยงกับนโยบาย
เรียบร้อยโรงเรียน กกต.กันไปแล้ว สำหรับการจับสลาก “หมายเลข” หรือ “เบอร์” ของพรรคการเมือง เพื่อนำไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2569 สรุปภาพรวมการรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ มีพรรคยื่นสมัครจำนวน 52 พรรคการเมือง รวม 1,502 คน ซึ่งสำนักงาน กกต.ได้ตรวจสอบเอกสารความพร้อม และทุกพรรคได้ส่งเอกสารครบถ้วน และทั้ง 52 พรรคได้ส่งนโยบายหาเสียงเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้มีพรรคการเมืองได้เสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จำนวน 32 พรรคการเมือง รวม 68 คน แต่พรรคที่ยังไม่ได้เสนอชื่อสามารถเสนอได้จนถึงวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครวันที่ 31 ธ.ค. 2568 ส่วนพรรคการเมืองได้ยื่นนโยบายที่จะใช้ในการหาเสียง ซึ่งจะส่งไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปถึงเจ้าบ้าน 19 ล้านครัวเรือนต่อไป
ที่น่าสนใจและเป็นสีสันอย่างมากในการจับสลาก “เบอร์” วานนี้ (28 ธ.ค.) คือ “พรรคใหญ่” เกือบทั้งหมด “พลาดท่า” ไม่ได้ “เลขตัวเดียว” สำหรับเบอร์ที่จะใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง 2569 เลย เว้นแต่ “พรรคเพื่อไทย” ที่ “ดวงเฮง” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคจับได้ “เบอร์ 9” ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) “บิ๊กตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จับได้ “เบอร์ 6”
ส่วนพรรคใหญ่อื่น ๆ เช่น พรรคภูมิใจไทย ได้เบอร์ 37 พรรคประชาชน (ปชน.) ได้เบอร์ 46 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เบอร์ 27 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เบอร์ 43 ส่วนพรรคขนาดเล็ก หรือพรรคใหม่ที่มีชื่อเสียงในช่วงนี้ เช่น พรรคเศรษฐกิจ จับได้เบอร์ 11 พรรคเสรีรวมไทย เบอร์ 12 พรรคประชาชาติ เบอร์ 33 พรรครักชาติ เบอร์ 35 พรรคกล้าธรรม เบอร์ 42 พรรคโอกาสใหม่ เบอร์ 44 พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เบอร์ 48 พรรคไทยก้าวใหม่ เบอร์ 49 เป็นต้น
ส่วนพรรคที่จับเบอร์ได้ “เลขตัวเดียว” ไปใช้หาเสียง เรียงตามลำดับ 1-8 (ไม่นับ รทสช.ที่ได้เบอร์ 6 และเพื่อไทยที่ได้เบอร์ 9) ได้แก่ เบอร์ 1 พรรคไทยทรัพย์ทวี เบอร์ 2 พรรคเพื่อชาติไทย เบอร์ 3 พรรคใหม่ เบอร์ 4 พรรคมิติใหม่ เบอร์ 5 พรรครวมใจไทย เบอร์ 7พรรคพลวัต เบอร์ 8 พรรคประชาธิปไตยใหม่เบอร์ 1 พรรคไทยทรัพย์ทวี เบอร์ 2 พรรคเพื่อชาติไทย เบอร์ 3 พรรคใหม่ เบอร์ 4 พรรคมิติใหม่ เบอร์ 5 พรรครวมใจไทย เบอร์ 7พรรคพลวัต เบอร์ 8 พรรคประชาธิปไตยใหม่
ในจำนวนนี้มีพรรคที่น่าสนใจ และเคยมีอดีต สส.หรือนักการเมืองที่เคยมีบทบาทสำคัญในสภาฯ เช่น พรรคใหม่ (เบอร์ 3) ในการเลือกตั้งปี 2566 จับได้เบอร์ 1 และพา สส.เข้าวินได้ 1 ที่นั่ง พรรค และพรรคพลวัต (เบอร์ 7) ภายใต้การนำทัพของ “กัณวีร์ สืบแสง” อดีต สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเป็นธรรม พร้อมกับดึง 2 อดีต สส.พรรค ปชน.มาเข้าร่วมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย
แม้การ “หมายเลข” ในการใช้หาเสียงเลือกตั้ง หลายคนอาจมองว่าไม่ส่งผลมากนักในการเลือกตั้ง เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เลือกจาก “พรรคการเมือง” หรือ “ตัว สส.” มากกว่าก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่จับสลากได้เบอร์ “เลขหลักเดียว” สามารถหอบ “กระแส” พา สส.เข้าสภาฯได้มาแล้ว
- ‘พรรคเล็ก’เบอร์เลขเดี่ยวลุ้น 1 เก้าอี้
ในการเลือกตั้งปี 2566 เบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคที่ได้หมายเลข “หลักเดียว” ได้แก่ เบอร์ 1 พรรคใหม่ เบอร์ 2 พรรคประชาธิปไตยใหม่ เบอร์ 3 พรรคเป็นธรรม เบอร์ 4 พรรคท้องที่ไทย เบอร์ 5 พรรคพลังสังคมใหม่ เบอร์ 6 พรรคครูไทยเพื่อประชาชน เบอร์ 7 พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 8 พรรคแรงงานสร้างชาติ และเบอร์ 9 พรรคพลัง
ในจำนวนนี้หากไม่นับ “ภูมิใจไทย” (เบอร์ 7) ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลาง (ในช่วงเวลานั้น) อาศัยยุทธวิธี “บ้านใหญ่” หอบหิ้ว สส.เข้าสภาฯได้จำนวน 71 ที่นั่ง (ณ ขณะนั้น) บรรดา “พรรคเล็ก” ถึง 6 ใน 9 ที่ได้เบอร์หลักเดียว สามารถพา สส.เข้าสภาฯได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็น พรรคใหม่ (เบอร์ 1) ได้ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคประชาธิปไตยใหม่ (เบอร์ 2) ได้ 273,430 เสียง สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคเป็นธรรม (เบอร์ 3) ได้ 184,815 เสียง สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคท้องที่ไทย (เบอร์ 4) ได้ 201,411 เสียง สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
พรรคพลังสังคมใหม่ (เบอร์ 5) ได้ 177,379 เสียง สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เบอร์ 6) ได้ 175,182 เสียง สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน เว้นแค่พรรคแรงงานสร้างชาติ ได้ไป 130,149 เสียง และพรรคพลัง ได้ 156,491 เสียงเท่านั้น เมื่อคำนวณตามสูตรของ กกต.แล้ว มีจำนวนไม่เพียงพอได้ สส.
- สูตรคำนวณปัดเศษเอื้อ
ตัวแปรสำคัญในการได้มาซึ่ง สส.เหล่านี้ อยู่ที่ “สูตร” ของ กกต. ที่ปัจจุบันยังใช้วิธี “ปัดเศษ” ผ่านการคำนวณแบบ “ระบบคู่ขนาน” หรือ Parallel System ให้รวมผลคะแนนทั้งหมดที่ทุกพรรคการเมืองได้รับจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อทั้งประเทศ หารด้วย 100 ผลลัพธ์ที่ได้ คือ “คะแนนเฉลี่ย” ต่อ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน
ยกตัวอย่างหากพรรคการเมือง ส่งบัญชีรายชื่อได้คะแนนรวมทั้งหมด 45 ล้านเสียง นำมาหารด้วย 100 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน เท่ากับ 4.5 แสนคะแนน เป็นต้น อย่างไรก็ดีในการคำนวณหา สส.บัญชีรายชื่อดังกล่าว หากทุกพรรคคำนวณรวมกันแล้วยังได้ไม่ถึง 100 คนจากทุกพรรค จะต้องมีวิธีการ “ปัดเศษ” กล่าวคือ พรรคใดมี “เศษ” มากที่สุดจากการหาร จะได้ สส.บัญชีรายชื่อ 1 คน เรียงกันขึ้นไปจนกว่าจะได้ สส.บัญชีรายชื่อ จากทุกพรรคครบ 100 คนในสภาฯ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบรรดา “พรรคเล็ก” ที่ชนะการเลือกตั้งปี 2566 บางส่วนได้คะแนนเพียง “หลักแสน” หรือราว 150,000-200,000 เสียง แต่มีการ “ปัดเศษ” จากสูตรคำนวณของ กกต.ส่งผลให้หอบ สส.เข้าสภาฯได้พรรคละ 1 ที่จนกว่า สส.ปาร์ตี้ลิสต์จะ “ครบ 100”
อีกประเด็นที่น่าสนใจ พรรคเล็กเหล่านี้ ส่วนใหญ่ใช้นโยบายที่เป็น “สีสัน” สร้างความแปลกใหม่ให้กับการเมืองไทย เช่น พรรคท้องที่ไทย ชูแคมเปญ “งานศพไม่เศร้า เขย่าได้” เปิดให้สามารถเล่น “การพนัน” ในงานศพได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย พรรคประชาธิปไตย เสนอนโยบายตั้งกระทรวงน้ำ ดิน และตั้งผู้ชำนาญการวัฒนธรรมประจำหมู่บ้าน หรือ “หมอผี-พ่อใหญ่ขจ้ำ” พรรคพลังสังคมใหม่ แจกเงินให้กับผู้มีรายได้น้อย เดือนละ 3 พันบาท แยกท้องถิ่นออกจากกระทรวงมหาดไทย รวมถึงนิรโทษกรรมผู้ติดเครดิตบูโร (แบล็คลิสต์)
พรรคครูไทยเพื่อประชาชน ชูนโยบายปฏิวัติการศึกษายุคใหม่ด้านหลักสูตร ผู้เรียได้ต้องได้รับอาหารเช้า-กลางวันฟรี ตั้งอนุบาล จนถึง ม.6 ทรัพยากรธรรมชาติต้องตกเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ขณะที่พรรคเป็นธรรม “กัณวีร์ สืบแสง” เป็น สส.ปาร์ตี้ลิสต์เวลานั้น เป็นพรรคพหุวัฒนธรรม ที่เน้นการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ชูนโยบายเกี่ยวกับการปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง การยกเลิกกฎหมายพิเศษทุกฉบับที่ใช้ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นต้น
- ‘พรรคใหญ่’ แก้โจทย์ปลุกกระแส
ขณะที่ “พรรคใหญ่” ที่จับได้ “เลขตัวเดียว” ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต่างเอา “เบอร์” มาใช้เป็นยุทธศาสตร์การหาเสียง เช่น พรรคเพื่อไทย จับได้ “เบอร์ 9” ซึ่ง “พรรคสีแดง” เคยจับได้เบอร์นี้มาแล้ว เมื่อครั้งพรรคไทยรักไทย ในการเลือกตั้งปี 2548 ส่งผลให้ได้รับเลือก สส.เข้ามาถึง 376 เสียง ดัน “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกฯสมัยที่ 2 ได้ ดังนั้นหลังจากนี้น่าจะได้เห็นแคมเปญของ “เพื่อไทย” เกี่ยวกับ “เบอร์ 9” อีกเป็นระยะ
ส่วน รทสช.ที่จับได้ “เบอร์ 6” ก็จะหยิบฉวยเบอร์นี้มาหาเสียงด้วย เนื่องจากสอดคล้องกับภารกิจของพรรคที่มี 6 ด้าน ที่พรรคจะเข้าไปแก้ปัญหาให้ตรงจุด เพื่อนำพาประเทศออกจากวิกฤติ นั่นคือ “พิทักษ์เอกราช พิฆาตคนชั่ว กอบกู้เศรษฐกิจฐานราก ทุบค่าพลังงาน สร้างสังคมคุณภาพ และ หนุนเกษตรทำเงิน”
ด้าน “พรรคใหญ่” ซึ่งจับได้ “เลขสองหลัก” ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ต่างก็ทยอยใช้ “เบอร์” มาเป็นแคมเปญหาเสียงแล้ว เช่น พรรค ปชน.ที่มีความช่ำชองในการหาเสียงผ่านโลกโซเชียลฯ ได้หยิบฉวยเลข 46 มาเปลี่ยนเป็น “คีย์เวิร์ด” ใช้หาเสียงเลือกตั้งคือ “4ระชาช6” คือ เลข 4 แทนตัว ป. และเลข 6 แทนหางของ น. เป็นต้น
อย่างไรก็ดีศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกคาดหมายว่าจะเป็นสมรภูมิ “3 ก๊กการเมือง” นำโดย 3 พรรคใหญ่ที่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลชุดหน้า ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรค ปชน. และพรรคภูมิใจไทย อาจได้จำนวน สส.ใกล้เคียงกัน หรือไม่มีพรรคใด “แลนด์สไลด์”
ดังนั้นตัวแปรสำคัญหล่นมาอยู่ที่ “พรรคขนาดกลาง-กลุ่มพรรคเล็ก” จะเทเสียงของตัวเองไปให้กับ “ก๊ก” ไหน เสียงของประชาชนเท่านั้น จะเป็นผู้ตัดสิน







