ค้าปลีกบูม‘ชอปปิงทัวริซึ่ม’ต่อจิ๊กซอว์ท่องเที่ยวไทย

ยุทธศาสตร์ประเทศไทยมุ่งการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ขณะที่ภาคธุรกิจค้าปลีกมองวาระเร่งด่วนของรัฐ ต้องมุ่งขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงชอปปิง ไปพร้อม
ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า รัฐต้องผลักดันนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงชอปปิง (Shopping Tourism) อย่างจริงจังเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาวะที่กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน
หนึ่งในรูปธรรมของ ชอปปิง ทัวริซึ่ม คือ การทำให้ประเทศไทยเป็น “ดิวตี้ ฟรี ซิตี้” ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในการซื้อสินค้าและมีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้มีการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เช่น โรงแรม ที่พัก สปา ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก การคมนาคมขนส่งทั้งทางบก น้ำ อากาศ
“ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติทั้งด้านสถานที่ท่องเที่ยว ธรรมชาติ วัฒนธรรม แต่การเป็นจุดหมายของการจับจ่ายสินค้า หรือ ชอปปิง เดสทิเนชั่น ยังไม่ใช่เหตุผลหลักที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเลือกมาประเทศไทย ขณะที่การมาดูวัฒนธรรม ปูชนียสถาน ส่วนใหญ่มาครั้งเดียว จากนั้นก็ไปประเทศอื่นต่อ แต่สิ่งที่จะจูงใจของการมาซ้ำ คือ การชอปปิง”
ดังนั้น นโยบาย “ดิวตี้ ฟรี ซิตี้” จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดและผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ ชอปปิง เดสทิเนชั่น
จากพิจารณาข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยใช้จ่ายเงินวันละกว่า 4,000 บาทต่อคน ใน 4,000 บาท ประกอบด้วย ค่าโรงแรม ค่าอาหาร เป็นส่วนใหญ่ ในจำนวนนี้มี “ค่าชอปปิง” 1,200-1,500 บาท เท่านั้น เมื่อเทียบสิงคโปร์และฮ่องกง การใช้จ่ายในการชอปปิง สูงกว่าไทย “2 เท่า” และ “5 เท่า” ตามลำดับ ซึ่งทั้งสองประเทศมีการสร้างการรับรู้ต่อฤดูกาล “ชอปปิง” เป็นหนึ่งจุดขายทางการท่องเที่ยว เทียบไทยที่มีแต่ฤดูการท่องเที่ยว ไม่มีฤดูกาล “ชอปปิง”
ทั้งนี้ ชอปปิง ทัวริซึ่ม ยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจซึ่งพิสูจน์แล้วว่าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จากหลายประเทศที่นำมาใช้ทั้งในยุโรปและเอเชีย นอกจากฮ่องกง และสิงคโปร์ ในปัจจุบันไม่เว้นแม้แต่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่าง จีน หรือ ญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น ประเทศอุตสาหกรรมที่มีวินัยทางการเงินและการคลังที่เข้มแข็ง ได้นำนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงชอปปิงมาเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจจากสภาพถดถอยทางเศรษฐกิจของประเทศ และได้สร้างความมั่งคั่งให้กับธุรกิจน้อยใหญ่ด้วยการออกมาตรการต่างๆ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศมากขี้น อาทิ การงดเว้นค่าวีซ่า การสนับสนุนให้มีร้านค้าปลอดภาษีมูลค่าเพิ่มในเมืองเป็น 20,000 ร้านค้า ในอีก 3 ปีข้างหน้า
โดยกระทรวงท่องเที่ยว ของประเทศญี่ปุ่น ระบุด้วยว่า เมื่อสิ้นปี 2558 ยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านล้านเยน สูงว่าปี 2557 กว่า 1 ล้านล้านเยน แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นในการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านการชอปปิงมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ จีน มีการเปิดร้านค้าปลอดอากรในเมือง บนเนื้อที่กว่า 1 แสนตร.ม. บนเกาะไหหลำ เป็นร้านค้าปลอดอากรใหญ่สุดในโลก เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักช้อปจากในประเทศและทั่วโลกให้มาที่เกาะแห่งนี้ ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงานการท่องเที่ยวของประเทศจีนได้ประกาศภารกิจหลัก คือ การเพิ่มจำนวนร้านค้าปลอดอากรในเมืองให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในจีน ขณะที่ประเทศลาว มีแผนที่จะเปิดร้านค้าปลอดอากรในเมืองขนาด 3.7 หมื่นตร.ม. พร้อมตั้งเป้าหมายเป็น “ศูนย์กลางการค้าใหม่ในอาเซียน”
ฉัตรชัย สะท้อนภาพ “จิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปในมิติของชอปปิงทัวริซึ่ม” ด้วยว่า นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมา มักหยิบยกจิ๊กซอว์ 5 ส่วนมาเป็น “จุดขาย” ประกอบด้วย จิ๊กซอว์ชิ้นแรก "Unmatched Cultural Attraction" เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และศิลปกรรม ที่เก่าแก่มีรากทอดยาวกว่า 800 ปี
จิ๊กซอว์ชิ้นที่สอง "Unmatched Natural Attraction" แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นทั้งทางเหนือ ที่ประกอบด้วยภูเขา ทางใต้ มีชายหาดสวยงามมากมาย อีกทั้งยังมีภูมิอากาศ ภูมิประเทศเอื้ออำนวยต่อกิจกรรมพักผ่อนกลางแจ้งหลากหลาย
จิ๊กซอว์ชิ้นที่สาม "World Class Shopping Venue" เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการชอปปิง ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นแหล่งจูงใจของการชอปปิงที่หลากหลายในระดับสากล นับตั้งแต่ระดับเดินดิน ตลาดจตุจักร ตลาดรถไฟ จนถึงศูนย์การค้าระดับเวิลด์คลาส เช่น ย่านเซ็นทรัล แบงค็อก, ดิ เอ็ม ดิสทริค, ย่านสยาม อีกทั้งสินค้าไทยได้รับการเชื่อถือว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ (Best of product Offering ) ซึ่งกลายมาเป็น
จิ๊กซอว์ชิ้นที่สี่ "Value for Money" ราคาที่นำเสนอค่อนข้างถูก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวประเทศไทยแห่มาด้วย “สินค้าราคาถูก” นักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยจึงเป็นนักท่องเที่ยวระดับแมส (Mass) ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างโปรโมทการท่องเที่ยวโดยพุ่งเป้าไปยังนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีกำลังซื้อสูง
เป็นที่มาของ จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย "Best International brand offer" หนึ่งในรูปธรรมของจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่มาเติมเต็มนโยบายด้านการท่องเที่ยวเชิงชอปปิง คือ การพิจารณายกเว้นภาษีนำเข้าบางกลุ่มสินค้า อาทิ แฟชั่น เครื่องสำอาง รวมถึงการเปิดเสรีร้านค้าปลอดภาษี โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนร้านค้าปลอดภาษีในเมืองให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในการซื้อสินค้า
นอกจากนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อมยังมีส่วนช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้มีการใช้จ่ายในประเทศให้มากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ อาทิ โรงแรม ที่พัก สปา ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก การคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาข้อมูลการวิจัยของ “Global Report on Shopping Tourism” โดย World Tourist Organization พบว่า เป้าหมายการชอปปิงสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอาเซียน ถือเป็นกิจกรรมสำคัญในการท่องเที่ยวสูงถึง 90% รองลงไป เป็นนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันตก 86% และนักท่องเที่ยวยุโรปตะวันออก 85% การวิจัยยังได้สรุปวิสัยทัศน์ต่อการท่องเที่ยวเชิงชอปปิงของนักท่องเที่ยวในมิติ Shopping As A Tourist Activity
ประกอบด้วย ชอปปิง เป็นกิจกรรมที่สำคัญในการกำหนดจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว, ชอปปิงจะมีอิทธิพลสูงยิ่งขึ้นในการกำหนดจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเมื่อตรงกันเทศกาลชอปปิงของประเทศนั้นๆ, ชอปปิงเป็นกิจกรรมที่สำคัญในช่วงพักผ่อน, ชอปปิงเป็นกิจกรรมที่สามารถของด้านเปรียบต่อนโยบายการท่องเที่ยว, ชอปปิงเป็นสื่อเชื่อมให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีกับผู้คนและสินค้าท้องถิ่น
เมื่อชอปปิงกลายมาเป็นกิจกรรมหลักการการท่องเที่ยว
การวิจัยได้ถามต่อว่าอะไรเป็นปัจจัยในการจูงใจนักท่องเที่ยวจับจ่าย ซึ่งสรุปได้อย่างมีนัยสำคัญ 3 อันดับ คือ ราคาของสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญในส่งเสริมการท่องเที่ยวในมิติการชอปปิง, ศูนย์การค้า ย่านการค้า ที่ส่งเสริมให้การชอปปิงเป็นไปอย่างมีความสุขและปลอดภัย, แฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และ เครื่องหนัง เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยว ซึ่ง “แบรนด์สินค้าชั้นนำ” ในกลุ่มสินค้าดังกล่าวเป็นแรงส่งให้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ







