‘อรฤดี ณ ระนอง’นักปั้นบิ๊กโปรเจคฯ ยูนิเวนเจอร์สู่นายณ์เอสเตท

‘อรฤดี ณ ระนอง’นักปั้นบิ๊กโปรเจคฯ ยูนิเวนเจอร์สู่นายณ์เอสเตท

‘อรฤดี ณ ระนอง’ อดีตซีอีโอยูนิเวนเจอร์ บิ๊กอสังหาฯใต้ร่มเจ้าสัวเจริญหาความท้าทายใหม่ที่’นายณ์ เอสเตท’สร้างชื่อให้คนจดจำบนโปรเจคหมื่นล้านสีลม

กับดักความสำเร็จ คือการยึดติดกับกรอบความสำเร็จเดิมๆ ทำให้นักบริหารมือทองอย่าง อรฤดี ณ ระนอง อดีตประธานอำนวยการ บริษัทยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เลือกที่จะมองหาความท้าทายใหม่เพื่อหลุดกับดักนั้น

หลังปลุกปั้นผลงานโครงการสำนักงานปาร์คเวนเชอร์ อีโอเพล็กซ์ อาคารสำนักงานเกรดเอ หัวมุมถนนวิทยุ-เพลินจิต อาคารสูงประหยัดพลังงานใจกลางเมืองที่คนต้องพูดถึงในฐานะตึก Green Building ระดับรางวัล Leed (Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับสูงแห่งแรกของไทย จากสภาอาคารเขียวสหรัฐอเมริกา สำนักงานแห่งนี้ ทั้งยังทุบสถิติค่าเช่าสำนักงานสูงที่สุดในกรุงเทพฯมาแล้ว

หญิงแกร่งมาดนักบริหารผู้เปี่ยมพลัง บวกกับประสบการณ์การทำงานในธุรกิจอสังหาฯมากว่า 13 ปี ตัดสินใจมานั่งเก้าอี้ตัวใหม่ในฐานะ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนายณ์ เอสเตท” เมื่อ ต.ค.2557 โดยหวังจะต่อยอดประสบการณ์พัฒนาอสังหาฯไฮเอ็นด์ ใต้ร่มเงาบริษัทนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้

เจ้าตัวบอกว่า สาเหตุที่ผละจากเก้าอี้ตัวใหญ่ เพราะอยากสร้างผลงานชิ้นใหม่ให้คนจดจำใจ ก่อนจะเกษียณตัวเอง หลัง พัชรา นิธิวาสิน กรรมการผู้จัดการนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ เอ่ยปากชวนมาทำงาน จากความเชื่อเดียวกันที่ว่าเธอจะมาสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ (Track record) ทำบิ๊กโปรเจคให้คนพูดถึง (Breaking News Ground ) ไม่ต่างจากโครงการปาร์ค เวนเชอร์ฯ

แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เธอก็ตกปากรับคำ พร้อมที่จะลุย เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

"เราตั้งใจอยากทำโปรเจคออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกครั้ง เมื่อก่อนยูนิเวนเจอร์เป็นบริษัทผลิตภัณฑ์ผงสังกะสีอ๊อกไซด์ (Zinc Oxide) รายได้ปีละ 30 ล้านบาท ก่อนพลิกธุรกิจสู่บริษัทชั้นนำด้านอสังหาฯ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ขยับรายได้สู่ระดับพันล้านบาท (ล่าสุดในปี 2558 มีรายได้ 13,453.42 ล้านบาท) ก็ถือว่าหมดหน้าที่่” เธอเล่า

ประเดิมโปรเจคแรกในฐานะซีอีโอใหม่ในปี 2557 ภายใต้บริษัทแม่ นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ กับการเข้าไปชิงประมูลที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 88 ไร่ หัวมุมถนนพระราม 4 ด้านหน้าโรงเรียนเตรียมทหารเดิม แข่งกับบิ๊กอสังหาฯ-ค้าปลีกไทยเทศ สนใจประมูลคับคั่ง ทั้งสหพัฒน์ สยามพิวรรธน์ ยูนิเวนเจอร์ผนึกทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) สิงห์ ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล ฯลฯ โดยนารายณ์ฯ ติด 1 ใน 18 รายชื่อติดโผผ่านการพิจารณาในรอบแรก

ทว่า สุดท้าย (ส.ค.2557) กลุ่มยูนิเวนเจอร์-ทีซีซี แอสเซ็ทส์ ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี จึงหยิบชิ้นปลามันไปครอง

หลังจากพลาดเป้าหมายใหญ่ นายณ์ฯ จึงป้อนแลนด์แบงก์ในมือให้เธอเข้าไปพัฒนาไปพลางกับโครงการแรกคือการพัฒนาที่ดิน 16 ไร่ ย่านพระราม 9 เดิมทีตั้งใจจะขึ้นทาวน์เฮ้าส์ ราคา 15 ล้านบาท “อรฤดี” เล่า แต่ที่สุดก็เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ลากราคาเป็นบ้านเดี่ยวหรูหรา โครงการ Parc Priva กลางเมืองหลังละ 30-40 ล้านบาท ปรากฎว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจากตลาด

สะท้อนถึงการมองขาดว่าตลาดอสังหาฯพรีเมียมยังเป็นที่ต้องการของตลาด ขอเพียงมีสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี มีความละเอียดในการออกแบบ

ที่ผ่านมายังร่วมกับ คูน แคปปิตอล พาร์ทเนอร์ส ร่วมเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบระดับซูเปอร์ลักชัวรี 3 โครงการในทำเลสุขุมวิทตอนกลาง ภายใต้แบรนด์ Quarter Collection ประกอบด้วย โครงการบ้านแบบคลัสเตอร์โฮม 2 โครงการ ได้แก่ Quarter39 และ Quarter 31 โครงการบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดิน Quarter ทองหล่อ

นอกจากนี้ ยังเปิดตัวโครงการ “เฌอคูน” ทาวน์โฮม มูลค่า 500 ล้านบาท บนที่ดิน 7 ไร่ จำนวน 70 ยูนิต ซึ่งเป็นโครงการแรกที่บริษัทขยายฐานมาสู่ตลาดระดับกลาง บนทำเลกรุงเทพฯ ย่านสาทร-ราชพฤกษ์

ล่าสุดกับการเปิดตัวโครงการ KRAAM คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรี่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท ย่านสุขุมวิท 26

ที่ดินที่แพงทำให้เธอเน้นการออกแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า หลอมรวมเอาพื้นที่สีเขียว และคุณภาพชีวิตที่ดีที่ทำให้บ้านมีมูลค่าสูงขึ้น โดยที่คนอยู่ไม่รู้สึกว่าแพง

ที่กล่าวมาทั้งหมดแค่เพียงการ “เรียกน้ำย่อย” ก่อนจะได้โอกาสปักธงของจริง ในการพัฒนาพื้นที่อสังหาฯ ใจกลางเมืองที่เป็น “ซิกเนอเจอร์” ให้คนเล่าขาน

หลังผนึกกับ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซ็นต์สัญญาเช่าที่ดินผืนงาม “กลางสีลม” บนที่ดินกว่า 6 ไร่ ระยะเวลาเช่า 50 ปี จากบริษัท สิวะดล จำกัด เตรียมขึ้นโครงการอาคารสำนักงานระดับพรีเมียม มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท เมื่อโครงการพัฒนาเสร็จอาคารแห่งนี้ยังจะถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

“อรฤดี” ระบุว่า โครงการนี้เป็นความหวังที่ทำให้นายณ์ฯ เป็นธุรกิจที่เติบโตยั่งยืน เพราะมีพอร์ตรายได้จากการเช่าเข้ามาเสริมรายได้ให้มั่นคงมากขึ้น

“จบจากโปรเจคนี้จะทำให้นายณ์ฯมีรายได้หมุนเวียน มีความยั่งยืน ตามรูปแบบบริษัทอสังหาฯ ที่เริมต้นจากรายได้ขายเมื่อถึงจุดหนึ่งมีฐานทุนที่ใหญ่ก็ค่อยไปพัฒนาการเช่า เช่น โรงแรม ค้าปลีก ออฟฟิส แต่เราทำกระชั้นเร็วกว่าคนอื่น ตั้งบรษัทมาเพียง 3 ปี ก็เริ่มไปทำพื้นที่เช่า เพราะโอกาสตึกเข้ามาก็ต้องคว้าโอกาส ที่ดินแปลงดีขนาดนี้ไม่มีอีกแล้วหากกัดฟันทำช่วงนี้เพื่อให้อยู่สบายในวันข้างหน้า”

ซีอีโอนายณ์ฯ ยังเล่าถึงแนวคิดในการพัฒนาโครงการผ่านการออกแบบว่า จะเน้นการเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สีลม อดีตคลองและย่านที่พักอาศัยริมแม่น้ำเจ้าพระยา

“ที่ดินแปลงนี้เป็นของตระกูลสีบุญเรือง ที่สร้างบ้านสไตล์โคโรเนียล ก่อนรื้อทิ้งและทำตึกให้เช่า ซึ่งถือว่ายังใช้พื้นที่ไม่เต็มศักยภาพเมื่อเทียบกับราคาที่ดิน จึงเป็นที่มาของการสรางมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินแปลงงาม”

ทว่า ยังคงกลิ่นอายของเรื่องราวประวัติศาสตร์พื้นที่ไว้

“แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไปสู่โลกอนาคตมากขึ้น เราก็ยังต้องเก็บรักษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพื้นที่ไว้” เธอเล่าถึงแนวคิดบิ๊กโปรเจคที่จะเสร็จในอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่เธอจะเกษียณการทำงานพอดี

ขณะที่หัวใจสำคัญของการเริ่มต้นโครงการใหม่ สำหรับเธอ เรียกว่า ต้องทิ้งความสำเร็จมาตั้งหลักก่อร่างสร้าง “ทีมงานใหม่”

ซีอีโอหญิงคนนี้จึงวางตัวเป็นหัวขบวน ค่อยๆ เติมทีมงาน ที่มีปรัชญาการทำงานคล้ายๆ กันคือ การไปให้ถึงเป้าหมาย

“งานนี้ไม่ใช่สบายๆ และลงตัวเหมือนที่เดิม เราต้องรับสภาพที่เกิดขึ้น และสนุกไปกับมัน”

ปัจจุบันนายณ์ฯ มีทีมงานเพียง 24 คน และอยู่ระหว่างสร้างวัฒนธรรมองค์กร บ่มเพาะบริษัทเล็กๆแห่งนี้ให้คนจดจำได้ โดยจะต้องยืนบนความแตกต่าง คิดหาคอนเซ็ปต์สร้างตำนานเล่าขานเรื่องใหม่ๆ กล้าคิดสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานต้องเข้าใจตรงกัน

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องพึงระวังคือไม่สั่งการแต่จะให้ “แชร์ไอเดีย” ระดมความเห็นร่วมกัน

“วิธีบริหารทีมงานใหม่หากเราทำงานด้วยความคิดของเราคนเดียว สั่งไปทุกอย่างก็จบเร็ว แต่ความจริงเราไม่ได้คิดถูกตลอดเวลา เราอยากมีมุมมองใหม่ๆ มาช่วยเราคิด น้องๆ ที่มาช่วยทำงาน ประสบการณ์บางคนก็ผสมผสานกันแต่ละมุมที่หลากหลาย จึงต้องร่วมกันคิด บางอย่างก็ต้องใช้เวลาไปกับการฝึกคนให้กล้าคิด กล้าทำสิ่งใหม่”

............................................

 “เลิร์นนิ่ง เคิร์ฟ”

จากนักวิเคราะห์ สู่ ซีอีโออสังหาฯ

เพราะวันนั้นจึงมีวันนี้ ที่อรฤดี ณ ระนอง ซีอีโอนายณ์ เอสเตท สั่งสมจุดตัดแห่งการเรียนรู้ (Learning Curve) ตลอดอายุการทำงาน 30 ปี ก่อนที่เธอจะก้าวมาสู่ตำแหน่งซีอีโอขององค์กรอสังหาริมทรัพย์ที่จับโครงการมูลค่านับหมื่นล้าน

อรฤดี เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บริษัทต่างชาติ เอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศไทย ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ ก่อนจะมาเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดค้าปลีก รวมอายุการทำงานที่แรก 8 ปี บริษัทที่เคี่ยวกรำทำให้เธอเป็นหญิงแกร่ง อดทน ต่อการทำงานหนัก บ่อยครั้งที่เริ่มงานตั้งแต่เช้าไปเลิกงานตอนตีสอง แม้กระทั่งเสาร์อาทิตย์ยังดึงเวลาพักผ่อนของเธอไปหมดสิ้น ที่สำคัญองค์กรมีวัฒนธรรมการทำงานอย่างมีเป้าหมาย แข่งขันสูงเหมือนกับไปเรียน มีสอบปลายภาควัดผลทุกปี

หลังจากนั้น เธอข้ามห้วยมานั่งในตำแหน่งผู้บริหารกองทุน แห่งแรกคือกองทุนรวมวรรณ ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ อายุงาน 5 ปี และมาอยู่ที่กองทุนรวมยูโอบี ตำแหน่งรองกรรรมการผู้จัดการอีก 2 ปี

เธอบอกว่าในเมื่อไม่ได้เติบโตมาสายงานนี้ จึงถือว่าท้าทายพอสมควร ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในไลน์ที่ไม่ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ใหม่ๆ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอได้งานคือ การสร้างความเข้าใจให้คนในยุคที่ยังไม่รู้จักกองทุนการลงทุน จะนำเงินมาให้คนอื่นบริหาร จึงต้องฝ่าฝันกับทัศนคติของความไม่เข้าใจของผู้คน

ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนมาสู่การเป็นผู้บริหารในบริษัทอสังหาฯ ภายใต้การชักชวนของชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทยูนิเวนเจอร์ บริษัททำโรงงานผลิตสังกะสีอ๊อกไซต์ ไปร่วมทุนกับบมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ และบริษัท เยาววงศ์ จำกัด จัดตั้งบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดีเวลลอป เมนท์ เพื่อพัฒนาโครงการ วอเตอร์คลิฟ โครงการอาคารชุดพักอาศัยบนถนนพระราม 3 ที่หยุดดำเนินการตั้งแต่ปี 2540 เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อมาพัฒนาต่อและขาย ซึ่งในยุคนั้นวงการอสังหาฯต่างก็เจ็บตัวจากวิกฤติฟองสบู่ ตึกร้าง หนี้ท่วม และขายที่เพื่อบรรเทาอาการธุรกิจฟุบ

ปรากฎว่า หลังจากเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว การพัฒนาตึกร้างทำให้เรียนรู้วิชาอสังหาฯ ทำตึกให้กลับมามีชีวิตชีวา รวมถึงการสร้างบ้านเกรดพรีเมี่ยม และสร้างสำนักงานราคาสูงใจกลางเมือง