'เอ็กโซติค ฟู้ด" เร่งโต ซื้อกิจการ-บุกตลาดนอก

'เอ็กโซติค ฟู้ด" เร่งโต ซื้อกิจการ-บุกตลาดนอก

หลังโรงงานแห่งใหม่ จังหวัดระยองแล้วเสร็จ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด พร้อมบุกตลาดญี่ปุ่นและเมืองจีน 'จิตติพร จันทรัช' แชร์สตอรี่ใหม่ พร้อมปิดดีล M&A

ตลอดปี 2558 บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO ผู้ผลิตจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและเครื่องประกอบอาหารไทย หมดเวลาไปกับการ 'ปรับระบบการชำระเงินใหม่' จาก 'สกุลเงินยูโร' เป็น 'สกุลเงินบาท' และ 'ดอลลาร์' หลังประสบปัญหาค่าเงินยูโรอ่อนค่า จาก 40 ยูโร เหลือ 35 ยูโร ซึ่งปัญหาดังกล่าว ทำให้บริษัทขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมาก

ล่าสุดบริษัทมีสัดส่วนสกุลเงินบาท 57% สกุลเงินดอลลาร์ 31% และสกุลเงินยูโร 12% เทียบกับปีก่อนที่มีสัดส่วนรายได้ สกุลเงินยูโร 72% สกุลเงินดอลลาร์ และสกุลเงินบาท 28% เท่ากับว่า ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในช่วงที่บริษัทมีสกุลเงินยูโรในอัตราสูง ส่งผลให้กองทุนที่เคยสนใจซื้อหุ้น XO จำต้องเลื่อนแผนออกไปก่อน

'คิด-จิตติพร จันทรัช' กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า หลังปรับระบบการชำระเงินใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว งานชิ้นต่อไปที่จะ 'ปลดล็อค' ธุรกิจครั้งสำคัญ คือ การเดินเครื่องโรงงานแห่งที่สองที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2559

โรงงานแห่งนี้จะทำให้บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มซอสเพิ่มขึ้น 'เท่าตัว' โดยจะขึ้นมาอยู่ระดับ 14,000 ตันต่อ 1 กะ (8 ชั่วโมง) หรือคิดเป็นยอดขาย 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตในโรงงานแห่งแรกที่อยู่จังหวัดชลบุรี 7,000 ตันต่อ 1 กะ (8 ชั่วโมง) ซึ่งโรงงานใหม่สามารถเพิ่มการผลิตได้ถึง 2 กะ หากมียอดขายเข้ามาจำนวนมาก เท่ากับว่า บริษัทจะมีรายได้ขยายตัวแบบ 'ก้าวกระโดด' หากมีออเดอร์ใหม่ๆเข้ามา

'เครื่องจักรที่มีความทันสมัยจะช่วยลดการสูญเสียในการผลิต แถมยังใช้คนน้อยลงกว่าเดิมด้วย ถือเป็นการช่วยลดต้นทุน และเพิ่มอัตรากำไรที่ดีทางหนึ่ง ในช่วงเริ่มต้นโรงงานแห่งใหม่จะมีไลน์การผลิตซอส 2 ไลน์ และจะเพิ่มไลน์การผลิตซอสอีก 2 ไลน์ในอนาคต' 

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้หลักมาจาก 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรสและนํ้าจิ้มต่างๆคิดเป็นสัดส่วน 68% นอกจากจะใช้รับประทานร่วมกับอาหารที่ทำเสร็จ เพื่อให้อาหารมีรสชาติดียิ่งขึ้นแล้ว ยังสามารถดัดแปลงใช้เป็นเครื่องปรุงรสในการประกอบอาหาร เพื่อให้ได้รสชาติตามที่ต้องการด้วย

2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงแกงและเครื่องประกอบอาหาร คิดเป็นสัดส่วน 14.26% ซึ่งผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการประกอบอาหาร แต่ไม่ต้องการเตรียมเครื่องประกอบอาหารด้วยตนเอง

3.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากผักและผลไม้ คิดเป็นสัดส่วน 10% ได้แก่ นํ้ามะพร้าว และนํ้ามะพร้าวผสมเนื้อ ซึ่งจะดำเนินการภายใต้ตราสินค้า COCO LOTO ส่วนนํ้าโกจิเบอรี่, นํ้ามะพร้าว, นํ้าว่านหางจระเข้ และนํ้าผลไม้ต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้ตราสินค้า EXOTIC FOOD และ THAI PRIDE

4.กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน คิดเป็นสัดส่วน 2.24% สินค้ากลุ่มนี้ ถือเป็นการต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มให้มีความครบวงจรในการรับประทานอาหารของผู้บริโภค

สุดท้าย กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วน 10%ได้แก่ สินค้าในนํ้ามันและนํ้าเกลือ, ผัก และผลไม้ กระป๋อง, ผลิตภัณฑ์จากข้าว, ของแห้งและของดองต่าง ๆ เป็นต้น

๐ บุกตลาดญี่ปุ่น-จีน

'กรรมการผู้จัดการ' เล่าถึงแผนส่งออกว่า เมื่อโรงงานแห่งใหม่แล้วเสร็จ บริษัทจะรุก 'ตลาดญี่ปุ่น' โดยจะนำสินค้าไปวางจำหน่ายใน 'เซเว่นอีเลฟเว่น' ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเซเว่นญี่ปุ่นมีจำนวนสาขามากที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก (อเมริกา,ญี่ปุ่น และไทย)

ปัจจุบันบริษัทมีซอสวางจำหน่ายในญี่ปุ่นบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้ขายในเซเว่น ส่วนตัวเชื่อว่า หากบริษัทสามารถวางจำหน่ายสินค้าในเซเว่นญี่ปุ่นได้ตามแผน ยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ในแง่ของมาร์จิ้นก็ดีขึ้นด้วย เมื่อเทียบกับเมืองไทย

'บริษัทจะเดินทางไปเจรจากับเซเว่นที่ญี่ปุ่นในเดือน พ.ค.หรือ มิ.ย.2559 และในเดือน ก.ค.2559 ตัวแทนจากญี่ปุ่นจะได้เดินทางเข้ามาดูโรงงานแห่งใหม่ ส่วนตัวเชื่อว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 จะวางสินค้าในเซเว่นญี่ปุ่นได้'

ในปี 2560 วางแผนเจาะตลาด 'ประเทศจีน' ในอดีตบริษัทเคยเข้าไปขายสินค้าในงานแสดงสินค้าในประเทศจีน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพนักงานขายพูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ปัจจุบันบริษัทรับเซลล์ที่พูดภาษาจีนมาทำงานแล้ว ล่าสุดเตรียมจะส่งเซลล์ไปออกงานแสดงสินค้าในประเทศจีน 2 งาน

ขณะเดียวกันยังมีแผนจะเจาะ 'ตลาดกลุ่มอาเซียน' ล่าสุดกำลังเจรจากับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ คาดว่าจะใช้เวลาสรุปเรื่องนี้ภายใน 6-12 เดือน ตามแผน 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) สัดส่วนรายได้จะมาจากยุโรป 50% ที่เหลือจะเป็นทวีปอื่นๆ

เมื่อปี 2558 บริษัทได้ลูกค้ารายใหม่ในประเทศฮ่องกง ผ่านมา 9 เดือน มียอดขายแล้ว 10 ล้านบาท ฉะนั้นหากได้งานใหม่ในเมืองจีนที่มีประชากรมากถึง 1,000 คน ยอดขายคงเด้งขึ้นทันที แม้จะมีการซื้อสินค้าของเราแค่ 1-2% ก็ตาม

'เราพยายามจะผลักดันยอดขายในทุกธุรกิจให้โตไปพร้อมกัน แต่อาจโฟกัสมากพิเศษในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส นํ้าจิ้ม และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงแกงและเครื่องประกอบอาหาร เพราะเป็นงานที่มีกำไรขั้นต้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยรวมของบริษัท'

๐ เล็งซื้อกิจการใหม่

'จิตติพร' บอกว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจา 'ซื้อกิจการ' (M&A) ภายในประเทศ จำนวน 2 ดีล ซึ่งทั้งสองดีลมียอดขายรวมกัน 600 ล้านบาท โดย 'ดีลแรก' เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร และส่งออก ขณะเดียวกันยังผลิตสินค้าชนิดเดียวกับบริษัทด้วยโดยปี 2558 บริษัทดังกล่าวมีรายได้รวม 500 ล้านบาท

'การเจรจามีความคืบหน้าพอสมควรแล้ว หากปิดดีลนี้สำเร็จ มั่นใจว่าจะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต' 

ส่วน 'ดีลสอง' ดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัท แต่เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งบริษัทมีความสนใจจะซื้อสูตรและแบรนด์สินค้ามาผลิตเอง เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ขณะเดียวกันต้องการนำยี่ห้อดังกล่าวมาเจาะตลาดในเมืองไทยด้วย ปัจจุบันบริษัทดังกล่าวมีรายได้รวม 100 ล้านบาท

'การซื้อกิจการเป็นการเร่งให้ยอดขายเติบโตกระโดด จากปีนี้ที่มีผลประกอบการขยายตัว 15% แต่หลังจากปี 2560 จะโตเฉลี่ย 20-25%'

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกของปี 2559 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตกว่า 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ฉะนั้นมั่นใจว่า ทั้งปี 2559 จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้ 740.11 ล้านบาท “หนุ่มวัย 41 ปี” กล่าวยืนยันทิ้งท้าย

'โอกาสมาอย่ารอ'

'เมื่อโอกาสทางธุรกิจมาถึงต้องรีบคว้า' วลีนี้ทำให้ 'จิตติพร จันทรัช' ตัดสินใจก่อตั้งองค์กรนี้ และผลักดันบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) เมื่อเดือนส.ค.2557

เขา เล่าว่า ช่วงหนึ่งของชีวิตมีโอกาสไปเรียนหนังสือในต่างประเทศ ปัญหาของคนไทยในต่างแดน คือ อยากทำอาหารไทย แต่ไม่มีวัตถุดิบ หรือเครื่องปรุง หาได้เต็มที่ ก็แค่น้ำจิ้มไก่แม่ประนอม (หัวเราะ) ทำให้เกิดความคิดที่ว่า เราควรผลิตเครื่องปรุงอาหาร เพื่อตอบสนองคนไทยในต่างแดน

จากนั้นตัดสินใจบินกลับเมืองไทยในปี 2542 เพื่อเปิดบริษัทร่วมกับน้องสาว ด้วยการซื้อสินค้ามาติดฉลาก 'เอ็กโซติค ฟู้ด' จำนวน 30 รายการ อาทิ กะทิ น้ำปลา แกงแดง แกงเขียว เครื่องปรุงต้มยำ และซอสพริก เป็นต้น
ผ่านมาถึงปี 2543 เริ่มก่อสร้างโรงงานเป็นของตัวเอง ปัจจุบันโรงงานของเราผลิตสินค้าเอง 75 เปอร์เซ็นต์ และซื้อมาขายไป 25 เปอร์เซ็นต์

ยอดขายในปีแรกๆ ทำได้ดีสุดที่ระดับ 10 ล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดขายวิ่งมาไกลถึง 608 ล้านบาท หลังนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดตามประเทศนั้นๆ

ปัจจุบัน 'เอ็กโซติค ฟู้ด' มีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 250 สูตร และส่งออกมากกว่า 60 ประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 99% ของรายได้ทั้งหมด