'ซื้อปีนี้ขายปีหน้า'ไพบูลย์ นลินทรางกูร

'ซื้อปีนี้ขายปีหน้า'ไพบูลย์ นลินทรางกูร

ตลาดชาติซื้อกลับเดือนก.พ. หลังดัชนีปีก่อนลงลึก 20% ไม่ใช่พื้นฐานเมืองไทยเปลี่ยน 'ไพบูลย์ นลินทรางกูร' แม่ทัพใหญ่แห่ง บล.ทิสโก้

ความซบเซาทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ปี 2556 สวนทางสัญญาณการฟื้นตัวของพี่ใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอมริกา และยุโรป ส่งผลให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศ ต่างพากันทิ้ง 'หุ้นบิ๊กแคป' เพื่อโยกเงินไปลงทุนในตลาดที่สร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า

สอดคล้องกับ 'ตัวเลขมูลค่าซื้อขายต่อวัน' ของตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2556 ลดลงจาก 5.03 หมื่นล้านบาท มาอยู่ 4.54 หมื่นล้านบาท ในปี 2557 และ 4.43 หมื่นล้านบาทในปี 2558 โดยสัดส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทนักลงทุนต่างประเทศอยู่ระดับ 22.7% 21.9% และ 23.7% ตามลำดับ

'ทอม-ไพบูลย์ นลินทรางกูร' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เล่าให้ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ฟังว่า '4 แสนล้านบาท' คือ ตัวเลขการขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายถือลงทุนระยะสั้นและกลาง ในช่วงปี 2556-2558

ไล่มาตั้งแต่ 1.9 แสนล้านบาท ในปี 2556 และ 4 หมื่นล้านบาท ในปี 2557 ก่อนจะขายหนักอีกครั้งในปี 2558 ที่ระดับ 1.6 แสนล้านบาท โดย 'หุ้นน้ำมัน' และ 'หุ้นสื่อสาร' ถือเป็นกลุ่มที่ถูกเทขายออกมากที่สุด

เม็ดเงินลงทุนที่ไหลออกไป ส่วนใหญ่เป็นเงินที่เคยมาจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป สาเหตุที่เงินเหล่านี้เคยถูกเทน้ำหนักมาที่ตลาดหุ้นไทย เป็นเพราะต่างชาติมีความเชื่อว่า ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงหุ้นไทยจะมีการอัตราเติบโตที่ดี

แต่เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มแสดงท่าทีจะขึ้นดอกเบี้ย เงินลงทุนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันไหลกลับไปสู่สหรัฐอเมริกา หลังตลาดเกิดใหม่หลายประเทศกู้เงินสกุลดอลลาร์ไว้จำนวนมาก ฉะนั้นอาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยาของสหรัฐ

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทั้งเศรษฐกิจในประเทศซบเซา การเมืองไม่ปกติ และจีนส่งสัญญาณเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อ 3 ปีก่อน คือ “จุดเริ่มต้น” ของความผันผวนตลาดหุ้นไทย

'สองเดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ.) ต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปเพียง 7.6 พันล้านบาท ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติที่เน้นถือระยะยาว และนักลงทุนเอเชีย ยังคงถือลงทุนหุ้นไทย เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของเมืองไทย' 

'กูรูตลาดหุ้น' เล่าต่อว่า เดือนก.พ.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเป็น 'บวกครั้งแรก' ในรอบหลายปีที่ผ่านมา บางจังหวะขึ้นเป็นที่หนึ่งของโลก สะท้อนผ่านตัวเลข 'ซื้อมากกว่าขาย 490 ล้านบาท' 

การปรับขึ้นครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของไทยเปลี่ยนแปลงไป หรืออนาคตเริ่มสวยหรู แต่เป็นเพราะหุ้นไทยปรับลดลงมากเกินไป โดยสิ้นปี 2558 'ดัชนีขยับลงกว่า 20%' จาก 1,600 จุด สู่ระดับ 1,200 จุด

ขณะเดียวกันแรงซื้อต่างชาติอาจมาจากข่าวที่ 'วิรไท สันติประภพ' ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาประกาศว่า หากเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอาจปรับลดดอกเบี้ย ถือเป็นการออกมาพูดครั้งแรก นับตั้งแต่เศรษฐกิจไทยซบเซา ที่ผ่านมาการกระตุ้นกำลังซื้อเกิดจากนโยบายการคลังเท่านั้น ฉะนั้นถ้ามีนโยบายการเงินออกมาสนับสนุน ตัวเลขหนี้สินครัวเรือนอาจไม่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่สูงถึง 81%

หากนำตลาดหุ้นไทยมาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกจะพบว่า ในช่วงเดือนก.พ.ที่ผ่านมา หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2-3% ถือเป็น 1 ใน 5 ประเทศ (ไทย,อินโดนีเซีย,ตุรกี,เม็กซิโก และชิลี) ที่ปรับตัวขึ้นในเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเฉลี่ย 8-10% และตลาดหุ้นบางแห่งปรับขึ้นเพียง 1-2%

'ปีนี้นักลงทุนไม่ต้องออกไปลงทุนนอกบ้าน เล่นหุ้นไทยยังพอหากำไรได้ วอลุ่มซื้อขายน่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่ 4.4 หมื่นล้านบาท'

เมื่อถามว่า ปีนี้หุ้นไทยเหลืออัพไซด์เท่าไร? เขาตอบว่า หุ้นไทยคงไปไกลสุด 1,400 -1,450 จุด หากยังไม่เห็นผลลัพธ์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ตัวเลขส่งออกของไทยในปี 2559 อาจติดลบ 2% หลังประเทศจีนที่เป็นคู่ค้าหลักไทยยังคงลดการนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะเดียวกันอาเซียนที่ทำการค้ากับจีนก็โดนผลกระทบด้วยเช่นกัน

'ภายใต้ข้อจำกัดหลายอย่าง อาจทำให้ประเทศไทยมีตัวเลขจีดีพีใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 2.8 ทำได้เท่านี้ ถือว่า เก่งมากแล้ว' 

'กูรูตลาดหุ้น' เชื่อว่า สัญญาณการซื้อกลับในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา แม้จะเป็นตัวเลขไม่มาก แต่บ่งบอกว่า 'แรงขายหุ้นไทยน้อยลงแล้ว' และหุ้นไทยได้เดินทางมาถึง 'จุดต่ำสุด' เรียบร้อยแล้ว และหากมองในแง่ของค่า P/E ตลาดหุ้นไทยในอนาคตที่อาจยืนใกล้เคียงตัวเลขปัจจุบันที่ระดับ 13 เท่า ถือว่า 'หุ้นไทยไม่แพง' 

ยิ่งนำค่า P/E หุ้นไทยมาเปรียบเทียบกับค่า P/E ตลาดหุ้นแถบอาเซียนที่อยู่ระดับเฉลี่ย 15-16 เท่า โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะเห็นว่า 'หุ้นไทยลงทุนได้' หลังเศรษฐกิจไทยได้ผ่าน 'จุดต่ำสุด' มาแล้ว รอดูเพียงผลการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศเท่านั้น เขาย้ำ
'ต้องจับตาดูการโหวตร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่ผ่านตลาดหุ้นอาจไขว้เขว แต่ไม่มาก'

๐สำรวจศก.ยักษ์ใหญ่

'ไพบูลย์' บอกว่า แนวโนมเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้คงไม่ขยายตัวมากเหมือนที่หลายวงการคาดเดา หลังจีดีพีในช่วงไตรมาส 4 ปี 2558 เติบโตเพียง 1% ปีนี้อย่างเก่งคงทำได้แค่ 2% เมื่อตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่โต ความจำเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในสามไตรมาสนี้คงไม่มี แต่มีโอกาสจะขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

สำหรับสภาพเศรษฐกิจยุโรปยังคงแย่อยู่ เพราะที่ผ่านมาออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ช้ากว่าสหรัฐอเมริกาหลายปี ฉะนั้นยังคงต้องใช้นโยบายผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปอีก 

ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 0% จาก 0.05% และลด Deposit rate สู่ระดับ -0.4% จากเดิมที่ -0.3% รวมทั้งยังไม่ได้ประกาศเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) สู่ระดับ 8 หมื่นล้านบาทยูโรต่อเดือน โดยมาตรการทั้ง 3 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มี.ค.2559

ส่วนประเทศจีน ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ยังคงต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฝั่งการผลิต และปฎิรูปรัฐวิสาหกิจ เช่น ธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น หลังที่ผ่านมาจีดีพีขยายตัวร้อนแรงถึงปีละ 10% เพราะรัฐบาลขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การผลิตล้นตลาด
ทว่าเศรษฐกิจฝั่งบริการของประเทศจีนอาจมีกำลังซื้อดีขึ้น เนื่องจากมีคนชนชั้นกลางมากขึ้น ฉะนั้นธุรกิจบันเทิง หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาจขยายตัวตามกำลังซื้อที่สูงขึ้น ถือเป็น 'ความโชคดี' เรื่องหนึ่งของเศรษฐกิจจีน เรามองว่า สิ้นปีนี้เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวเฉลี่ย 6-8%

๐หาจังหวะช้อน 'หุ้นปันผล' 

'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' บอกว่า ปี 2559 เป็นปีแห่งการ 'ซื้อ' ไม่ใช่ 'ขาย' แต่พฤติกรรมนักลงทุนไทย มักชอบทำตรงข้าม เวลาเห็นตลาดหุ้นขาลง จริงๆ นักลงทุนควรเริ่มซื้อตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ดัชนีอยู่ระดับ 1,250 จุด แต่หลายคนมาช้อนในเดือนมี.ค.ทั้งๆ ที่ตลาดขยับขึ้นมาที่ 1,350 จุด ตอน 1,250 จุด เชียร์ให้ซื้อนักลงทุนก็ด่า (ยิ้ม)

ตลาดหุ้นขาลงเช่นนี้ ควรออกไปช้อปปิ้ง 'หุ้นปันผล' อย่างน้อยเพื่อความอุ่นใจ หาดีๆจะได้หุ้นที่มีเงินปันผลเฉลี่ย 4-5% เช่น หุ้นแบงก์ และสื่อสารบางตัว เป็นต้น แต่จะได้กำไรดีมากๆ ถ้าเก็บตั้งแต่เดือนก.พ.แต่หากใครไม่ทัน ช่วงนี้ยังซื้อได้ เมื่อเก็บแล้วห้ามสนใจราคาหุ้น ตราบใดที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน จากนั้นให้หาจังหวะขายในปี 2560 บนสมมุติฐานที่ว่า ภาวะเศษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว

ส่วนตัวมองว่า 'ปีหน้าตลาดหุ้นขึ้นแน่นอน' หากรัฐบาลเดินแผนตามโรดแมป ที่สำคัญธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้แย่ และหลายบริษัทยังมีหนี้สินระดับต่ำ ข้อนี้สำคัญ นอกจากนั้นเศรษฐกิจโลกคงจะเริ่มดีขึ้น ฉะนั้นอาจเห็นส่งออกไทยฟื้นตัวบ้าง

ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติ 'ชื่นชอบ' หุ้นที่เติบโตตามเศรษฐกิจภายในประเทศ และหุ้นที่มีราคาถูกเกินไป แม้วันนี้ยังไม่เห็นภาพการขยายตัวทางธุรกิจชัดเจน โดยเฉพาะ “กลุ่มค้าปลีก,กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มสื่อสารบางตัว เป็นต้น

ยกตัวอย่าง หุ้นแบงก์รายใหญ่ ก่อนหน้านี้เคยเทรด 2.5-3 เท่า ของมูลค่าทางบัญชี (Book Value) แต่เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เทรด 1-1.2 เท่า ทำให้นักลงทุนสนใจซื้อลงทุนค่อนข้างมาก ทั้งๆที่ภาพรวมกลุ่มแบงก์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถือคติ “เก็บของถูกก่อนแล้วค่อยดูภาพรวม”

ผู้นำดิจิทัลโบรกเกอร์

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา 'เทคโนโลยีการเงินฟินเทค' หรือ Financial Technology เริ่มเป็นที่นิยมในเมืองไทย โดยเฉพาะแวดวง 'ธุรกิจสตาร์ทอัพ' (Startup) ล่าสุดได้เข้ามามีบทบาทในแวดวงตลาดหุ้น ผ่านการสร้างโปรแกรมช่วยในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับความนิยมมานานมากแล้ว

'ไพบูลย์ นลินทรางกูร' เล่าว่า ทิสโก้เชื่อว่า เทคโนโลยีฟินเทค กำลังจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในแวดวงตลาดหุ้น ฉะนั้นเมื่อต้องการมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย “ผู้นำดิจิทัลโบรกเกอร์แบบครบวงจรผ่านบริการออนไลน์” เราคงต้องหันมาใช้ประโยชน์จากกระแสฟินเทคให้เร็วที่สุด

ล่าสุดได้พัฒนาโปรแกรมสแกนหุ้น ภายใต้ชื่อ 'TISCO Stock Scan' ถือเป็นการเกาะกระแสความนิยมซื้อขายหลักทรัพย์ ผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2554-2558) สัดส่วนขยับขึ้น จาก 44% เป็น 51% 55% 60% และ 64% ตามลำดับ

ภายใน 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนการซื้อขายหุ้นผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ตมีโอกาสขึ้นไปยืนระดับ 80-90% หลังคนรุ่นใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ขณะที่คนรุ่นเก่าเริ่มมีความรู้ความเข้าใจในการใช้อินเตอร์เน็ต

เขา บอกว่า เมื่อเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ถือเป็นโอกาสในการทำธุรกิจของทิสโก้ เนื่องจากที่ผ่านมา มีข้อจำกัดในการเติบโต โดยเฉพาะในแง่ของจำนวนลูกค้าบุคคล หลังโบรกเกอร์มีมาร์เก็ตเพียง 100 คน

ขณะที่โบรกเกอร์คู่แข่งที่มีแม่เป็นแบงก์มีมาร์เก็ตติ้งมากถึง 400-500 ราย ฉะนั้นหากเราทลายกำแพงนี้ได้สำเร็จ นอกจากจะมีลูกค้าบุคคลเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 'แสนคน' แล้ว ยังจะช่วยผลักดันส่วนแบ่งการตลาดด้วย ตามแผนงานในอนาคตอยากเห็นลูกค้าบุคคล และสถาบันในและนอกประเทศ ในสัดส่วน 50:50

'5 ปีที่ผ่านมา เรามีลูกค้าบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 2 หมื่นคน เป็นเกือบ 6 หมื่นคน แต่จำนวนมาร์เก็ตติ้งไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ดังนั้นหากต้องการดูแลลูกค้าให้ทั่วถึงเท่ากับว่า ต้องจ้างมาร์เก็ตติ้งเพิ่มอีก 200 คน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากฟินเทคจะตอบโจทย์ทั้งหมด' 

ในช่วงที่โปรแกรมยังไม่เสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ 'โรบอทมาร์เก็ตติ้ง' จะทำหน้าที่สแกนหุ้นเด่นให้นักลงทุน แต่ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าจะพัฒนาไปจนถึงสามารถพูดคุยได้เลย หรือจัดการซื้อขายหุ้นในราคาที่ดีที่สุด รวมถึงช่วยบริหารความเสี่ยงหุ้นในมือนักลงทุน เปรียบเหมือนนักลงทุนมีมาร์เก็ตติ้งส่วนตัวคอยแนะนำหุ้น หรืออัพเดทข้อมูลใหม่ๆ

'การสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆ จะทำให้บล.ทิสโก้แตกต่างจากคู่แข่ง ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเพิ่มนักวิเคราะห์ ปัจจุบันมีทีมวิเคราะห์ 20 คน ที่ผ่านมาเราโดดเด่นเรื่องการวิเคราะห์อยู่แล้ว' 

'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' ทิ้งท้ายว่า แม้ 6 โบรกเกอร์หน้าใหม่ (AWS ,AEC, APPLE, LHS, ASL และ SBITO) ที่เข้าสู่แวดวงหลักทรัพย์เมื่อ 2 ปีก่อน จะมาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดออกไป 10% รวมถึงแย่งตัวมาร์เก็ตติ้งพ่วงลูกค้า แต่ตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดของทิสโก้ยังคงยืนระดับ 3% เท่าเดิม เนื่องจากเน้นลูกค้าสถาบันเกือบ 60% และมีโปรดักทางการเงินที่แตกต่างจากโบรกเกอร์อื่น

มาร์เก็ตติ้งของบล.ทิสโก้ 1 คน สามารถสร้างค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ได้สูงถึง 7.7 ล้านบาท สูงกว่าในอุตสาหกรรมที่ทำได้ 2.9 ล้านบาทต่อคน ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเพิ่มมาร์เก็ตติ้งให้เท่าคู่แข่ง

'อัตราเฉลี่ยค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับลงต่อเนื่อง 5 ปีที่ผ่านมา จาก 0.17% ในปี 2554 เหลือ 0.13% ในปี 2558 ทำให้แวดวงโบรกเกอร์ต้องคอยปรับตัวเองตลอดเวลา หากไม่อยากสูญเสียลูกค้า มาร์เก็ตแชร์ และมาร์เก็ตติ้ง'