‘ซาอุดีฯ’นักเที่ยวสาย‘ฮาลาล’อยู่นาน14 วัน ใช้จ่ายแสนบาทต่อคนโอกาสทองเศรษฐกิจไทย

‘ซาอุดีฯ’นักเที่ยวสาย‘ฮาลาล’อยู่นาน14 วัน     ใช้จ่ายแสนบาทต่อคนโอกาสทองเศรษฐกิจไทย

เมื่อเร็วๆนี้ อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เล่าไว้ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มีข้อมูลของ ปี 2567 ที่ว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบีย เดินทางเข้าไทย 228,032 คน เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อนหน้า

และประเมินว่าจะจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศมุสลิมอย่างซาอุดีอาระเบียจะเติบโตได้ถึง 8% ในปี2568 

     “แนวโน้มดังกล่าวทำให้นักท่องเที่ยวซาอุดีฯ กลายเป็นตลาดที่มีจำนวนเดินทางเข้าไทยมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง แซงหน้านักท่องเที่ยวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี) ซึ่งปีที่แล้วมีจำนวน 169,927 คน เพิ่มขึ้นเกือบ 22.3%”

     สำหรับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวซาอุดีฯ จะพำนักเฉลี่ย 2 สัปดาห์/ทริป และมียอดใช้จ่าย 110,000 บาท/คน/ทริป สูงสุดในบรรดาตลาดต่างประเทศ

 โดยหนึ่งในวัตถุประสงค์การเดินทาง นอกเหนือจากการชอปปิง และเที่ยวหาดทรายชายทะเลแล้ว ยังนิยมใช้บริการการแพทย์ขั้นสูงและรักษาโรคต่างๆ สอดรับกับเทรนด์“ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ”ที่ประเทศไทยกำลังโปรโมต และในปัจจุบันนักท่องเที่ยว

ซาอุดีฯ เริ่มเดินทางเยือนเมืองอื่นๆ มากขึ้น เช่น สมุย กระบี่ และพังงา นอกเหนือจากกรุงเทพฯ และภูเก็ตอีกด้วย ทั้งยังเลือกเดินทางเที่ยวไทยช่วงฤดูฝน (กรีนซีซัน) เพื่อหลีกหนีจากอากาศร้อนจัดแถบตะวันออกกลาง

“ประเทศไทยจะร่วมมือกับซาอุดีอาระเบียเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีนัดหารือกับรัฐมนตรีท่องเที่ยวของซาอุดีฯ ภายในต้นปี2569”

นอกจาก นักท่องเที่ยวซาอุดีฯ ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโต เป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายที่หนุนความแข็งแกร่งแก่ประเทศไทย ร่วมกับตลาดอื่นๆ ในตะวันออกกลาง เช่น โอมาน คูเวต และกาตาร์ ที่แม้จำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยจะยังไม่มาก แต่มีศักยภาพ เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายสูงมาก

     ข้อมูลจากเวบไซด์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า รองศาสตราจารย์ ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึง แอปพลิเคชัน Halal Route ที่เปิดตัวให้ผู้สนใจดาวน์โหลดได้ฟรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 และมีการอัปเดตและอัปเกรดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการรีวิวที่ดีจากผู้ใช้งาน 

“มั่นใจว่าแอปพลิเคชัน “Halal Route” จะช่วยผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมได้มากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยพี่น้องเพื่อนชาวมุสลิมให้เดินทางท่องเที่ยว กิน พักผ่อนทั่วประเทศไทยได้อย่างสบายใจสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม”

  สำหรับการท่องเที่ยวฮาลาลหรือการท่องเที่ยววิถีอิสลาม(Halal Tourism) แม้จะมีโอกาสมหาศาลรออยู่ข้างหน้า แต่ก็มีรายละเอียดที่ต้องใส่ใจ นั่นคือ การท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลามและค่านิยมของชาวมุสลิม 

รศ.ดร.วินัย จึงได้แนะนำ 6 เรื่องที่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวต้องใสใจ ได้แก่ อาหาร– มุสลิมสามารถบริโภคเฉพาะอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาลเท่านั้น

สิ่งอำนวนความสะดวกในการละมหาด– ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการละหมาด เช่น การมีห้องละหมาดแยกชาย-หญิง และการมีสถานที่สำหรับชำระล้างร่างกายก่อนละหมาด เป็นต้น

การให้บริการในช่วงเดือนรอมฎอน– เป็นเดือนที่ชาวมุสลิมถือศีลอด ดังนั้นสำหรับชาวมุสลิมที่จำเป็นต้องออกเดินทางไปต่างแดนในช่วงนี้ จึงมักมองหาโรงแรมและการบริการที่เอื้อต่อการถือศีลอดดังกล่าว เช่น โรงแรมที่สามารถเตรียมอาหารฮาลาลบริการ หรือที่เรียกว่า ซะโฮร์ ให้ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เป็นต้น

สุขอนามัยในห้องน้ำ– ความสะอาดทางกายภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสุขอนามัยในห้องน้ำ และน้ำที่สะอาด

กิจกรรมที่ไม่ใช่ฮาลาล– เมื่อเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ชาวมุสลิมมักหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่ใช่ฮาลาล เช่น สถานที่ที่บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สถานบันเทิง และบ่อนการพนันคาสิโน เป็นต้น

พื้นที่สันทนาการที่เป็นสัดเป็นส่วนแยกชายและหญิง– ควรคำนึงถึงพื้นที่ส่วนตัวที่แบ่งแยกชายหญิงชัดเจน เช่น ห้องออกกำลังกาย สปาก็ควรแยกพื้นที่ชายและหญิงออกจากกัน หรือหากจำเป็นก็ใช้สถานที่เดียวกันแต่ให้จัดสรรเวลาแยกกัน

ดังนั้น หากธุรกิจท่องเที่ยว หรือ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวม่ีความเข้าใจ หลักการHalal Tourism และปรับตัวด้วยการใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ จัดสรรสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวชาวมุสลิมที่ไม่เพียงแต่จากตะวันออกกลางเท่านั้น แต่หมายถึงมุสลิมทั่วโลก อีกหลายพันล้านคนหรือเท่ากับหลายพันล้านโอกาสนั่นเอง 

‘ซาอุดีฯ’นักเที่ยวสาย‘ฮาลาล’อยู่นาน14 วัน     ใช้จ่ายแสนบาทต่อคนโอกาสทองเศรษฐกิจไทย ‘ซาอุดีฯ’นักเที่ยวสาย‘ฮาลาล’อยู่นาน14 วัน     ใช้จ่ายแสนบาทต่อคนโอกาสทองเศรษฐกิจไทย