องค์กรต้องรอด.!!จังหวะตั้งรับ’ฟาร์มโชคชัย’

วิกฤติเศรษฐกิจยากจะคาดเดา ซีอีโอคาวบอย’โชค บูลกุล’เลือก’ตั้งรับ’ ปรับทัพรับคลื่นมรสุม พาธุรกิจฝ่าวิกฤติให้อยู่รอด อีกระลอก
“ไม่มีความเชื่อมั่น..!! คือ คำตอบสุดท้ายของซีอีโอคาวบอย “โชค บูลกุล” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย ที่มีต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ และนั่นทำให้การขับเคลื่อนองค์กรใน 3 ขาธุรกิจ ไดเแก่ ภาคการผลิตและการเกษตร ค้าปลีก-บริการ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นจังหวะของการ “ปรับตัว” เพื่อให้ยืนหยัดได้ท่ามกลางวิกฤติระลอกใหม่ นับจากตั้งแต่ปี 2540
ที่ธุรกิจของกลุ่มบริษัท ฟาร์มโชคชัย เคยขาขึ้นทะยานสูงสุด ในปี 2555 ด้วยยอดขายทะลุ 2,000 ล้านบาท
ทว่า นับตั้งแต่ปี 2556 สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มเป็น“ขาลง” จนกิจการระส่ำย่ำแย่สุดในปี 2558 ชนิดที่ตัวเลขนักท่องเที่ยว รายได้ กำไรของฟาร์มโชคชัย หดตัวแรงถึง 30%
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย อย่างลูกค้าองค์กรลดลง งดจัดประชุมสัมมนาทัวร์ฟาร์ม นักท่องเที่ยววอล์กอินหลักล้านคนต่อปีก็ลดลง ยอดใช้จ่ายต่อคนที่เคยมีกว่า 2,000 บาทต่อครั้ง หลังๆหล่นเหลือ 1,700 บาทต่อคน ที่เคยเข้าชมฟาร์มโชคชัย รีดนมวัว ชิมอืมม!มิลค์ ราว 2 แสนคนต่อปี ก็ลดเหลือราว 1.7 แสนคนต่อปี “โชค” เผย
ไม่เพียงเท่านั้น ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภทโรงงานสำเร็จรูป ย่านปทุมธานี ที่เคยสร้างรายได้และ “กำไร” เป็นกอบเป็นกำหลัก“ร้อยล้านบาท”ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ก็พัดพาลูกค้าบิ๊กเนมอิเล็กทรอนิกส์ของโลกอย่าง “ซีเกท เทคโนโลยี” พ่วงบริษัทผลิตชิ้นส่วนอย่าง บริษัท ฟาบริเน็ท จำกัด หนีหายไปกับสายน้ำ 4 ปีแล้ว ทำให้บริษัทกำไรลดลงไปร่วม “พันล้านบาท” และไม่มีทีท่าจะได้ลูกค้าใหม่ เมื่อทำเลจังหวัดปทุมธานี กลายเป็น “จุดเสี่ยง” น้ำท่วมนิรันดร์กาล
“คำตอบสุดท้ายว่า ผมไม่มีความเชื่อมั่นว่าปีนี้ธุรกิจจะเติบโต” โชคประเมินสถานการณ์ธุรกิจ โดยนำผลการดำเนินงานปี 2558 มาเป็นพื้นฐานการประเมิน บวกกับสัญญาณบวกในอนาคตที่ยังมองไม่เห็น
แนวทางการทำธุรกิจปีนี้ เขาขอยืนอยู่บนฐานต่ำ การปรับตัวจะกลายเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่ใช้ใขปัญหาธุรกิจ แบบ “ผ่อนหนักเป็นเบา”
“เศรษฐกิจแบบนี้ต้องคอยดูให้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ต้องทำมากที่สุดคือปรับโครงสร้างบริษัท ปรับฐานธุรกิจให้แคบลง ให้มีการ Integrate (รวม)การบริหารงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น”
นอกจากจะลดความเสี่ยง ลดต้นทุนให้กับองค์กรแล้ว สิ่งเหล่านี้โชคมองว่า ยังจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำ “รายได้” และ “กำไร” ให้กลับมายืนโดดเด่นเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้ง ในไม่ช้า
ปีนี้โชคให้น้ำหนักกับการ “พลิกโมเดลธุรกิจ” ในขาของ “ธุรกิจการผลิตและเกษตรอุตสาหกรรม” ที่มีทั้งการผลิตน้ำนมดิบ ส่งออกแม่พันธุ์โคนม เวชภัณฑ์สัตว์ เป็นต้น
เหล่านี้ต้องหาทาง “ลดความเสี่ยง” และ “เพิ่มมูลค่า” หนทางนำไปสู่การสร้างการเติบโตด้าน “กำไร”
การปรับฐานธุรกิจให้ “แคบ” โดยทั่วไปมักลดหรือเลิกจ้างคนงาน แต่สำหรับ “โชค” ไม่เลือกวิธีการนั้น พนักงาน 1,000 คน จะถูกขยับขยายให้ทำงานได้หลากหลายประเภท 1 คนทำได้หลายไลน์การผลิต เพิ่มผลิตภาพ (Productivity)
ปีนี้ยังเป็นครั้งแรกที่บริษัทผนึก “พันธมิตรต่างชาติ” ขยายธุรกิจ หลังโดนใจทุนซามูไร 2 รายในเซ็กเตอร์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม(Dairy) เช่น ชีส, นมสำหรับผู้แพ้แลคโตส และค้าขาย(Trading) ที่มีช่องทางจำหน่ายในสินค้าขายส่งให้กับเครือข่ายธุรกิจอาหารในประเทศไทย ซึ่งพันธมิตรใหม่จะมาช่วยเติมเต็มสินค้านมให้กับฟาร์มโชคชัย สร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบเหลือทิ้ง ขยายช่องทางจำหน่าย อนาคตยังมีโอกาสส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เพราะพันธมิตรมีตลาดส่งออกทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
เรียกว่า ได้ผนึกพันธมิตร สร้าง “ทางลัด” เติบโตหลายสเต็ปในการสร้างมูลค่าเพิ่ม จาำ “น้ำนมดิบ”
“ถ้าเอานมดิบมาแปรรูปได้มากสุดเร็วสุด ความเสี่ยงหายไป รายได้บริษัทมากขึ้น และหากนำไปผลิตชีสมูลค่าเพิ่มมาหลายร้อยเปอร์เซ็นต์” เขาบอกและขยายความว่าปีนี้ จะลดการขายสินค้าที่ทำ “กำไรต่ำ” ลงด้วย
แล้วอัตรากำไรระดับไหนถึงจะพอใจ ?
“หลักเศรษฐศาสตร์กำไรต้องสูสีกับอัตราเงินเฟ้อ เราไม่ใช่บริษัทมักมาก แต่ขอให้อยู่ได้” เขาให้คำตอบ
ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวจะพยายามสร้างประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ให้มากขึ้น บริษัทได้รับฉลากคาร์บอนฟุตปริ๊นท์(Carbon footprint) จะนำมาเป็นจุดขายดึงลูกค้าองค์กรให้เข้ามาท่องเที่ยวเรียนรู้กระบวนการว่าองค์กรแห่งนี้ทำอย่างไรจึงได้ฉลากดังกล่าวมา เพิ่มกลยุทธ์ท่องเที่ยวรับประทานอาหาร ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาทางสร้างรายได้เพิ่ม ท่ามกลางสถานการณ์นักท่องเที่ยวที่น้อยลง โดยการลงทุนใหญ่ในส่วนของการท่องเที่ยวจะยังไม่เห็น
“ปัจจัยเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่ฉลาดที่จะไปลงทุนอะไรมากมาย น้ำหนักจึงไปอยู่ที่การเตรียมแผน นับตั้งแต่ปี 2555 เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจดิ่งลง สิ่งที่ฟาร์มโชคชัยทำในปลายปี 2555 ถึงปัจจุบัน คือ ปรับการบริหาร ลดต้นทุนการบริหาร ในฐานะเอ็มดี (กรรมการผู้จัดการ)กลุ่ม มั่นใจระบบบริหารว่ามีประสิทธิภาพสูงแล้ว” เขาย้ำ และว่า
ไม่ใช่จะไม่ลงทุน การบำรุงรักษาเครื่องจักรการผลิตต่างๆก็ยังมี โดยเตรียมงบประมาณหลักสิบล้าน แต่จะลงทุนไม่มาก และ “เบรก” โมเดลทเวนตี้ไฟฟ์ (Model25) สำหรับการขยายร้าน อืมม!..มิลล์
“พอเศรษฐกิจชะงัก ไม่มั่นคง ทำให้ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของธุรกิจ จะเดินหน้าค่อยว่ากัน เราเบรกในเรื่องการเติบโต แต่ไม่เบรกระบบ”
ตลอดทั้งปี 2558 โชคยังเปรียบธุรกิจเป็นมวยที่ถูก“เศรษฐกิจชก” อยู่ฝ่ายเดียวจนต้องถอยร่นตั้งรับ มากกว่ามุ่งสร้างการเติบโตแบบบริษัทเจ้าสัว
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่สานอาณาจักรต่อจากบิดา (โชคชัย บูลกุล) โชคบอกว่า ปีนี้บริหารธุรกิจหินสุด เพราะเมื่อเทียบกับปี 2540 ที่ต้องแบกหนี้กว่า 500 ล้านบาท ความซับซ้อนง่ายกว่ามาก เพราะปีนั้นเป็นเรื่องของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ขณะที่ปี 2559 เป็นเรื่องของการเมือง พ่วงด้วยปัจจัยลบอื่นอ่ีกมาก ทั้งการก่อการร้าย“
ปี 40 เป็นวิกฤติเศรษฐกิจอย่างเดียว ประเมินง่าย วันนี้อยู่ดีๆก็มีระเบิดแยกราชประสงค์มากระทบเรา ไม่สามารถคาดการณ์ได้ รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมคิดไม่ว่าจะกระตุ้นยังไง ก็ไม่สามารถไปควบคุมปัจจัยภายนอกประเทศได้” เขาชี้ปัญหาซับซ้อน
เศรษฐกิจจะเผาจริงเผาหลอก บางคนมองเป็นปี “เก็บกระดูก” ล้วนเป็นความท้าทายและยากจะคาดเดา เจอวิกฤติหลายครั้ง สิ่งที่องค์กรผ่านมาได้ หัวใจสำคัญเขายกให้เรื่องของ “การเงิน” ที่บริษัทไม่กู้หนี้ยืมสิน ทำให้ควบคุมดูแลทุกอย่างได้ค่อนข้างดี และไม่มีปัจจัยเสี่ยง
“เราไม่มีหนี้ หนี้เราเป็นศูนย์” เขาบอก
อย่างไรก็ตาม แม้บริบทเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้จะสาหัส แต่ “โชค” ก็ตั้งความหวังว่า ทุกอย่างจะไม่เลวร้ายกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนธุรกิจจะมีโชคหรือไม่ ? ต้องติดตาม







