หมากรบ 'เจ้าพ่อซาเล้ง' ปั่นธุรกิจจักรยานข้ามยุค

“เจเคซี ไบค์” คือโรงงานผลิตจักรยานรายแรกของไทย ผู้นำ“รถซาเล้ง-สามล้อถีบ”สู่สยามประเทศ หมากรบในวันนี้คือ ไม่ขยาย ไม่ใหญ่ แต่ต้องกำไรมากขึ้น
ถนนนักปั่นไม่ได้ราบเรียบ!
เช่นเดียวกับเส้นทางธุรกิจจักรยานที่ชื่อ “เจเคซี ไบค์ อินดรัสตรี” โรงงานผลิตจักรยานรายแรกของไทย ที่อยู่ในสนามมานานถึง 57 ปี
คนรุ่นก่อนรู้จักพวกเขาในฐานะผู้ผลิตรถซาเล้ง สามล้อถีบ จักรยานแบบกุญแจคอ จักรยานรุ่นท่าเรือ ขวัญใจผู้ใช้แรงงาน ฯลฯ ก่อนพัฒนามาสู่จักรยานตามสมัยนิยม ภายใต้แบรนด์ “ไอโคนิค” (ICONIC) และ “ทอร์นาโด” (TORNADO) ที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน มีโรงงานผลิตอยู่ใน ศาลายา จ.นครปฐม
เจเคซี ไบค์ เปิดตำนานธุรกิจจักรยานรายแรกของไทย แต่ก็เป็นรายแรกๆ เช่นกัน ที่เกือบ “ล้มละลาย” ในธุรกิจนี้
“สมเกียรติ อนันต์สรรักษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคซี ไบค์ อินดรัสตรี จำกัด ทายาทรุ่น 2 ย้อนเล่าให้เราฟังว่า ในวันที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพกีฬาระดับชาติครั้งแรก ผู้นำในยุคนั้นต้องการให้ภาพของกรุงเทพมหานครดูเจริญรุ่งเรือง เลยสั่งไม่ให้มีการผลิตรถซาเล้ง และสามล้อถีบในกรุงเทพอีก ผลกรรมเลยตกกับผู้ผลิต “เพียงเจ้าเดียว” อย่างพวกเขา
“ตอนนั้นธุรกิจที่บ้านน้องๆ ล้มละลายเลย พูดง่ายๆ คือ เจ๊ง ต้องชะงักอยู่ 2-3 ปี” เขาบอกเรื่องช้ำๆ
ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะหาทางหยิบยืมเงินจากคนใกล้ตัว แล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยเปลี่ยนมาทำจักรยาน 26 กุญแจคอ จักรยาน 28 รุ่นท้ายคู่ และพัฒนาสู่จักรยานรุ่นท่าเรือ สำหรับขนบรรทุกสินค้า จนวันที่ “ปรีดา จุลละมณฑล” ยอดนักปั่นทีมชาติไทยในอดีต ไปสร้างผลงานระดับโอลิมปิค-เอเชี่ยนเกมส์ ทำให้เสือหมอบกลับมาดังเปรี้ยงขึ้น พวกเขาเลยได้ขยับมาทำเสือหมอบ และจักรยานรุ่นใหม่ๆ ตามสมัยนิยมตามมา
สมเกียรติ เข้ามาสานต่อธุรกิจเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ยุคของเขามีการผลิต เสือหมอบ และเสือภูเขา (MTB) เพิ่มมากขึ้น ในช่วงนั้นใช้ชื่อแบรนด์ว่า “นิว ไลออน” มีโลโก้เป็นสิงโตเหยียบโลก กับแบรนด์ “จากัวร์” และ “อีเกิล” ผลิตขึ้นระหว่างปี 2515-2525 ซึ่งปัจจุบันไม่มีขายแล้ว เหลือแต่แบรนด์ที่ผลิตหลังปี 2525 อย่าง “เพรสซิเด้นท์” และ “ทอนาร์โด” จักรยานตลาดล่าง ที่ขายดีมากในเขตชายแดน ลาว กัมพูชา และเวียดนาม กับ “ไอโคนิค” แบรนด์ระดับกลาง ขวัญใจคนรักเสือหมอบและฟิกเกียร์ ส่วนหนึ่งยังรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ รวมถึงผลิตอุปกรณ์จักรยานพวก ตัวถัง ตะเกียบ บังโคลน บังโซ่ ฯลฯ ส่งให้ร้านประกอบจักรยานอีกด้วย โดยมีกำลังผลิตจักรยานอยู่ที่ประมาณ 2-2.5 หมื่นคัน ต่อเดือน
ธุรกิจอยู่ด้วย “ความเก๋า” และ “คุณภาพ” เลยยังรับมือได้แม้ในวันที่คู่แข่งเท่าทวีขึ้น เขาว่า ช่วงที่ธุรกิจจักรยานบูมสุดๆ ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ก็ระหว่างปี 2525-2535 ณ วันนั้นทุกแบรนด์ดีหมด
หากทว่า วันนี้ชักจะไม่ง่ายอย่างวันนั้น และนับวันก็มีแต่จะ “สาหัสสากรรจ์” ขึ้นเรื่อยๆ
“บ้านเราผลิตจักรยานได้ปีละกว่าล้านคัน แต่ 3-4 ปีหลังมานี้ เศรษฐกิจผันผวนมาก โดยเฉพาะปีที่แล้วกับปีนี้ตลาดหดตัวลงเยอะมาก”
จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อใครเขาว่า ธุรกิจจักรยาน “หวานมาก” คนรักสุขภาพ กระแสรักษ์โลก ทำยอดนักปั่นเติบโตขึ้นทุกปี แถมยังมีกิจกรรมมากมายมากระตุ้นตลาดจักรยานให้คึกคักอย่างต่อเนื่องอีก ทว่าคนในสนามกลับบอกว่า ที่โตคือ “จักรยานนำเข้า” ไม่ใช่ผู้ผลิตในประเทศอย่างพวกเขา ซึ่งของนำเข้าก็มีทั้งแบรนด์แพงสนองใจคนกระเป๋าหนัก กับของจีนราคาถูก เอาใจคนรายได้น้อย เท่านี้ก็ปั่นป่วนผู้ผลิตในบ้านเรามากพอแล้ว
นี่ยังไม่นับรวมสถานการณ์ช้ำๆ อย่างน้ำท่วมโรงงานปี’54 ที่ธุรกิจต้องเสียหายไปหลายล้านบาท และใช้เวลาฟื้นฟูอยู่ร่วมครึ่งปี มาบวกวิกฤติค่าแรงแพง ขาดแคลนแรงงาน จากเดิมที่เคยมีคนงานสูงถึงประมาณ 70 คน ทุกวันนี้เหลืออยู่แค่ 30 คน เท่านั้น ดูๆ ไป ธุรกิจจักรยานชักจะไม่หวานเสียแล้ว!
“ผมต้อง R&D ตัวเอง ทำอย่างไรให้ธุรกิจไปรอดได้ สามารถหล่อเลี้ยงคนงานได้ต่อไป ผมถึงต้องมามองหาช่องทางใหม่ๆ เอาตามตรงนะ ถ้ายังรอลูกค้าเดิมๆ...คงตายไปนานแล้ว” เขายอมรับ
หมากรบฉบับใหม่ ไม่ใช่การขยายธุรกิจให้ใหญ่ แต่คือการอยู่แบบเล็ก แต่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อมีปัญหาเรื่องคนถูกข้อจำกัดด้านกำลังการผลิต ก็ใช้วิธีกระจายงานออกข้างนอก จากอดีตเคยมีลูกค้ายี่ปั้วอยู่กว่า 50 ราย ปัจจุบันเหลืออยู่ในมือไม่ถึง 10 ราย เขาว่า ต้องเลือกเฉพาะที่มีเงินแน่นอน ไม่มีความเสี่ยง เพิ่มความสบายใจในการทำธุรกิจ
คนยุคนี้อยากได้ความพิเศษ ถึงได้ถวิลหาจักรยานแพงๆ มาปั่นกัน เจเคซี เลยขยับมาให้บริการแบบ “คัสโตไมซ์” เลือกออกแบบจักรยานได้ตามใจสั่ง เขาว่า ทำได้ตั้งแต่ 1 คัน ไปจนระดับล้านคัน! แล้วแต่ความต้องการของลูกค้า
จากจักรยานสนองใจนักปั่น ก็ขยับมาพัฒนาจักรยานที่โฆษณาได้ สำหรับเจาะตลาดองค์กร จากนั้นมาทำจักรยานคนพิการ เพื่อหาช่องว่างในตลาดใหม่ รวมถึงตลาดซีเอสอาร์ รับทำจักรยานเพื่อการบริจาค ซึ่งเริ่มมาเมื่อประมาณ 3 ปี ก่อน และทำรายได้ให้ธุรกิจอยู่ถึงประมาณ 20% ในปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้คือโอกาส “ทำกำไร” ในตลาดใหม่ ที่เกิดได้ด้วยพลังความคิดของพวกเขา
กิจการที่กำลังทะยานเข้าสู่ปีที่ 60 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีทายาทรุ่น 3 เข้ามาสานต่อเรียบร้อยแล้ว โดยลูกชายคนโต “ชัช” อายุ 25 ปี และคนรอง “นพพงษ์” วัย 23 ปี ซึ่งเข้ามาดูธุรกิจเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ทายาทจักรยานไม่ได้ปิดตัวเองอยู่แค่ธุรกิจจักรยาน แต่พวกเขาขยายมาทำผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานอสังหาฯ อาทิ โครงเหล็ก ราวระเบียง ราวบันได ฯลฯ โดยอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือ ที่มีอยู่แล้วในโรงงานจักรยาน เพื่อขยับโอกาสทำเงิน ในช่วงที่จักรยานซบเซาลง
“ผมเองไม่ได้ห้ามลูกนะ เขาอยากทำอะไรก็ให้ทำ แต่เขาทำจากจุดที่ว่า เรามีเครื่องไม้เครื่องมืออยู่แล้ว โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม ลูกๆ จับตรงนั้นมาเป็นหลัก พอเห็นโอกาสก็เลยลองทำ” เขาบอก
ถามถึงเป้าหมายต่อไป เจ้าพ่อซาเล้งบอกเราว่า ธุรกิจจักรยานจะไม่ขยายเพิ่ม แต่จะทำให้น้อยลงด้วยซ้ำ เพราะมองแล้วว่า ตลาดเปลี่ยนไปเยอะมาก โดยอนาคตอยากมีหน้าร้านของตัวเองเพื่อรับประกอบจักรยานตามที่ลูกค้าต้องการ ส่วนโรงงานก็ยังทำเท่าที่เครื่องจักรจะยังพอผลิตได้ โดยเน้นตลาดซีเอสอาร์ เป็นหลัก
“อนาคตผมจะไม่ขยายเพิ่ม แต่จะสร้างให้มูลค่าเพิ่มขึ้น พูดเล่นๆ นะ ตอนนี้ถ้าผมจะไม่ผลิตจักรยานอีกเลย ตัวผมก็เป็นจักรยานอยู่แล้วจริงไหม ฉะนั้นผมสามารถสั่งโรงงานอื่นผลิตและประกอบให้ก็ได้ เท่านี้ก็ทำธุรกิจได้แล้ว และโมเดลจะเปลี่ยนไปทันที”
เขาบอกโมเดลใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยจุดแข็งอย่าง ความเก๋า ประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือ ที่สั่งสมมาตลอด 57 ปี การันตีแต้มต่อในสนามนี้ โดยไม่สนว่าผู้เล่นคนอื่นจะเป็นอย่างไร หรือทำอะไรอยู่ เขาว่า จะเป็นเหมือนม้าแข่ง ที่มองแต่ทางข้างหน้า ไม่สนใจคู่แข่งขัน และมั่นใจว่า ธุรกิจจะยังไปต่อได้ ถ้าแค่ปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง
นี่แหล่ะ! วิถีของนักปั่นอย่างพวกเขา
“”””””””””””””””””””””””””””””
Key to success
สูตรรบเจ้าพ่อซาเล้ง “เจเคซี ไบค์”
๐ เป็นเจ้าแรก การันตีคุณภาพ และความเก๋า
๐ เข้าใจตลาด แสดงความรับผิดชอบ กล้ารับประกันสินค้า
๐ ปรับตัวเองเพื่อหาตลาดใหม่ ที่มีกำไร
๐ ขยายสู่กลุ่มโฆษณา ซีเอสอาร์ และคัสโตไมซ์
๐ ทายาทแตกไลน์สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่
๐ แก้ปัญหาแรงงาน กระจายการผลิตออกข้างนอก
๐ ทำธุรกิจควบคู่ทำเพื่อสังคม







