'เอื้อวิทยา' ลุย 'ชีวมวล' งานใหม่ 'พลิกฐานะ'

'พลังงานชีวมวล-แปรรูปพืชพลังงาน' ธุรกิจใหม่กำไรสูงของ ตระกูลลีนะบรรจง 'พีรทัศน์ ธนรัชต์วัฒนา' เอ็มดีใหญ่ บมจ.เอื้อวิทยา
เมื่อธุรกิจเดิมที่คลุกคลีมาตลอด 40 ปี ของ บมจ.เอื้อวิทยา หรือ UWC ไม่สามารถผลักดันฐานะการเงินให้ขยายตัวสม่ำเสมอ หลังที่ผ่านมาภาครัฐชะลอการใช้งบประมาณ ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญหน้ากับความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะเหล็ก และสังกะสี รวมถึงต้องทำงานแข่งกับคู่แข่งหน้าใหม่ที่โดดเข้ามาในอุตสหกรรมโครงสร้างเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของบริษัท คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 40% (อ้างอิงตัวเลขในปี 2557)
จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ในช่วง 2-3 ปีก่อน 'ตระกูลลีนะบรรจง' ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค หรือ CEN ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของ UWC ตัดสินปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหม่ ด้วยการมุ่งหน้าสู่ 'ธุรกิจพลังงานชีวมวล' และ 'ธุรกิจแปรรูปพืชพลังงานครบวงจร'
ล่าสุดหุ้นใหญ่ได้ชักชวน 'พีรทัศน์ ธนรัชต์วัฒนา' มาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ทางพลังงานทดแทน หลังเคยผ่านการทำงานในองค์กรพลังงานขนาดใหญ่มาแล้วหลากหลายแห่งนานกว่า 20 ปี เช่น บมจ.ปตท.หรือ PTT ,บมจ.การปิโตรเคมีแห่งชาติ หรือ NPC และ บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIL เป็นต้น
ปัจจุบัน UWC ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย 'โครงเหล็กชุบสังกะสี' สำหรับ 1.โครงเหล็กเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยจะผลิตตามความต้องการของลูกค้าที่รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย,การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
2. โครงเหล็กเสาโทรคมนาคม ซึ่งผลิตตามความต้องการของลูกค้า เพื่อใช้รองรับการติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารในระบบโทรคมนาคม 3. เสาโครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าในสถานีไฟฟ้าย่อย 4.โครงสร้างเหล็กทั่วไปเป็นโครงเหล็กที่ใช้ในกิจการต่างๆ
5.ธุรกิจบริการชุบสังกะสี ซึ่งจะให้บริการลูกค้าทั่วไป และ 6.ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มแรกของบริษัท เช่น อุปกรณ์ส่งกำลังประเภทโซ่ เฟือง มอเตอร์ และเกียร์ต่างๆ เป็นต้น โดยบริษัทได้นำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตหลายยี่ห้อจากต่างประเทศด้วย
'พีรทัศน์ ธนรัชต์วัฒนา' กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอื้อวิทยา หรือ UWC ทักทาย “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ด้วยการเล่าจุดเริ่มต้นของการเข้ามานั่งทำงานใน UWC ว่า การได้เข้ามาทำงานในองค์กรแห่งนี้ ตามคำเชื้อเชิญของเพื่อน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนบริษัท ถือเป็นการเดินทางตามความฝันอีกครั้ง
หลังในช่วงปี 2538 เคยจับมือกับเพื่อนลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแกลบแห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้เวลาก่อสร้าง 7 ปี แต่สุดท้ายธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ เพราะราคาแกลบจากที่มีราคาถูกมากราคากลับขยับสูงถึง 400 บาทต่อตัน ก่อนจะขึ้นไปสูงถึง 1 พันบาทต่อตัน ในอีก 2 ปีต่อมา
ที่ผ่านมาธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจเมืองไทย แต่หากย้อนดูวัตถุดิบ (น้ำมัน) เครื่องจักร และการตลาด จะเห็นว่า ทุกอย่างล้วนต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ยกเว้นเศษวัตถุดิบจากการเกษตร สิ่งเดียวที่เมืองไทยได้รับมีเพียง ค่าแรง และผลตอบแทน นั่นหมายความว่า ประเทศไทยยังได้รับประโยชน์จากธุรกิจดังกล่าวไม่เต็มที
'กรรมการผู้จัดการ' เล่าเป้าหมายการทำธุรกิจในอนาคตว่า เราต้องการก้าวขึ้นสู่ 'ผู้นำด้านธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวล และธุรกิจแปรรูปพืชพลังงานครบวงจร' โดยบริษัทจะดำเนินการตั้งแต่ เพาะพันธุ์,ปลูก,เก็บเกี่ยว และแปรรูป ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เรียกว่า ปิดช่องทางความเสี่ยงที่เกี่ยวกับ 'วัตถุดิบ' ที่ราคามักผันผวน และมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ตามแผนงาน ในปี 2558 บริษัทคาดว่า จะมีโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้งหมด 6 แห่ง กำลังการผลิตรวม 60 เมกะวัตต์ ปัจจุบันลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลแล้ว 2 แห่ง นั่นคือ โรงไฟฟ้าชีวมวล จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนประมาณ 525 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส จังหวัดขอนแก่น กำลังการผลิต 2.2 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าขอนแก่งจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2558 ประมาณ 100 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้เต็มปีประมาณ 300 ล้านบาท ในปี 2559
สำหรับเป้าหมายสูงสุดของโรงไฟฟ้า จังหวัดขอนแก่น คือ ต้องมีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และต้องมีรายได้จากการแปรรูปพืชพลังงาน โดยบริษัทจะนำต้นหญ้าเนเปียร์พันธุ์ปากช่องที่มีการพัฒนาสายพันธุ์มาอย่างดี ลักษณะภายนอกคล้ายกับอ้อย ลำต้นใหญ่ เจริญเติบโตเร็ว ทนแล้ง ต้นโตเต็มที่สูงประมาณ 5 เมตร และมีรากฝอยที่แข็งแรง มาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการทำเป็นอาหารสัตว์ขายให้กับกรมปศุสัตว์ หรือสหกรณ์การเกษตร เพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์ ปัจจุบันมีคนรอรับซื้อแล้วเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้โรงไฟฟ้า จังหวัดขอนแก่น จะสร้าง 'กำไรขั้นต้น' ค่อนข้างสูง เนื่องจากเรามีรายได้จากการแปรรูปวัตตถุดิบด้วย ต่างจากโครงการโรงไฟฟ้าทั่วไปที่จะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) สำหรับโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะอยู่ระดับ 38-40% ส่วนโรงไฟฟ้าจังหวัดนครศรีธรรมราชจะมีผลตอบแทนเฉลี่ย 32%
'โรงไฟฟ้า จังหวัดขอนแก่น จะเป็นโมเดลพืชพลังงานมากกว่าโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกพืชพลังงานกว่า 3 พันไร่'
เขา เล่าต่อว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราตั้งใจจะซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 3 แห่ง แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าชีวมวล (Biomass) และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ (Biogas) มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ปัจจุบันเรามีความพร้อมในเรื่องเงินลงทุน หลังมีเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนประมาณ 1 พันล้านบาท และยังมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน
'เมื่อเราซื้อกิจการโรงไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายในปีนี้ สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเป็นธุรกิจไฟฟ้า 45% และธุรกิจเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง 55%'
ถามว่า วางกลยุทธ์ลดความเสี่ยงธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างไร? 'เอ็มดีใหญ่' เล่าว่า 1.ต้องสามารถเก็บเกี่ยวพืชพลังงานได้ในระยะเวลาสั้น ที่สำคัญต้องมีรอบของการเก็บเกี่ยวสม่ำเสมอ เช่น หญ้าเนเปียร์ จะใช้ระยะเวลาเก็บเกี่ยว 3-4 เดือน
2.เราเจรจากับกรมป่าไม้ เพื่อขอเข้าไปทำทำสวนป่า ปัจจุบันกรมป่าไม้มีพื้นที่เสื่อมโทรมเยอะ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ฉะนั้นบริษัทอาจเข้าไปเช่าพื้นที่เหล่านั้น เพื่อปลูกต้นไม้ที่เราต้องการใช้เป็นวัตถุดิบป้อนโรงไฟฟ้า เช่น ต้นหญ้านีเปียร์ และกระถินยักษ์ เป็นต้น ดังนั้นต่อไปเราจะมีคลังสำรองวัตถุดิบ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงของตัวเองมากขึ้น
3.บริษัทจะเข้าไปคุยกับชาวบ้านที่มีที่ดิน และต้นไม้จำนวนมาก แต่ไม่ได้ใช้งาน หากชาวบ้านรายใดตัดต้นไม้มาขายบริษัท 1 ตัน บริษัทจะให้ต้นกล้าไปปลูก 1 ต้น โดยเราจะสอนว่า ปลูกต้นไม้อย่างไรให้ได้ผลผลิตมากที่สุด
'พีรทัศน์' เล่าถึงแผนธุรกิจในช่วง 2 ปีข้างหน้า (2558-2559) ว่า บริษัทจะสร้างฐานธุรกิจให้แข็งแรง ด้วยการเดินหน้าซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าให้ครบ 20 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตประมาณ 200 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 5 พันล้านบาท ปัจจุบันเมืองไทยมีโรงไฟฟ้าชีวมวลกว่า 100-200 แห่ง
'ปีหน้าธุรกิจพลังงานทดแทนจะขึ้นมาเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) โดยสัดส่วนรายได้ธุรกิจไฟฟ้าจะขึ้นเป็น 60% ธุรกิจเสาส่งไฟฟ้า 40% และในอนาคตสัดส่วนธุรกิจเดิมจะลดลงเรื่อยๆ โดยปี 2560-2562 ธุรกิจไฟฟ้าอาจมีสัดส่วนมากถึง 80-90%'
ทั้งนี้ในปี 2559 บริษัทจะเริ่มลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่แทนการซื้อกิจการ หลังบริษัทมีเชื้อเพลิงเพียงพอแล้ว เมื่อถึงวันนั้นแบงก์ไหนก็คงพร้อมปล่อยเงินกู้ เพราะเรามีวัตถุดิบเป็นของตัวเองแล้ว รับรองว่า แผนธุรกิจโรงไฟฟ้าไม่ล้มแน่นอน แต่หากวันนี้เราไปขอกู้ทำโรงไฟฟ้าใหม่ ถ้าแบงก์ถามว่า จะซื้อวัตถุดิบจากแหล่งไหน เราก็ตอบเขาไม่ได้
'5 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทอื่นด้วย เช่น โรงไฟฟ้าโซลาร์ ,ลม และน้ำ'
ทำงานเก่าคู่งานใหม่
ด้าน 'ป้อม-ธีรชัย ลีนะบรรจง' น้องชายแท้ๆของ 'เสี่ยขุน-ชนะชัย ลีนะบรรจง' ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการสายการตลาดและสื่อสารองค์กร บมจ.เอื้อวิทยา ถือโอกาสฉายภาพแผนธุรกิจดั้งเดิมว่า หลังภาครัฐมีแผนจะขยายเสาไฟฟ้า เพื่อรองรับโครงการพลังงานทดแทนที่จะขยายตัวทั่วประเทศ เนื่องจากปริมาณการใช้ไฟฟ้ามีจำนวนมากขึ้น 'ธุรกิจเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง' ที่เป็นงานหลักของบริษัทย่อมได้รับประโยชน์ตามไปด้วย เพียงแต่เราอาจต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้มีความรวดเร็วขึ้น ควบคู่กับการลดต้นทุน
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2559-2561) กฟผ.มีแผนจะต้องใช้เสาส่งไฟฟ้าแรงสูงจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ มูลค่า 'หมื่นล้าน' ซึ่ง UWC จะได้อานิสงส์ดังกล่าวด้วยเนื่องจากในตลาดมีเพียงไม่กี่บริษัทที่ได้รับมาตรฐานในการผลิตเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ (kV) เราคาดว่าจะได้รับงานมูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท
ส่วน 'ธุรกิจโครงเหล็กเสาโทรคมนาคม' ซึ่งในปี 2557 สร้างรายได้ให้บริษัท 37.82% ปัจจุบันเราเป็นบริษัทเดียวที่ผลิตเสาส่งเทเลคอมให้กับผู้ประกอบการทุกเครือข่าย (AIS-DTAC-TRUE) ฉะนั้นเราย่อมได้ผลดีจากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) อนุมัติให้มีการประมูลคลื่นความถี่ 4G ในเดือน พ.ย. 2558 เพราะโครงการดังกล่าวจะทำให้มีความต้องการใช้เสาส่งโทรคมนาคมในปี 2559 มูลค่าสูงกว่า 1 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดีเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา UWC และ 'นิธิศ คิลมัฐ' ได้ซื้อหุ้น บมจ.ไดเมท (สยาม) หรือ DIMET ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีคุณภาพสงู สำหรับใช้ทาในงานอตุสาหกรรมและงานโครงเหล็กที่ใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ จำนวน 125.63 ล้านหุ้น คิดเป็น 49% ราคาหุ้นละ 3.60 บาท ปัจจุบันบริษัทและพันธมิตรได้จัดเตรียมเอกสาร เพื่อใช้ในการยื่นขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
'การขยายการลงทุนไปในธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพของบริษัทได้อย่างดี โดยเราเตรียมจะนำสีของ DIMET มาเสริมในธุรกิจเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง หรือธุรกิจเสาเทเลคอม'
เหตุใดราคาหุ้น UWC ไม่เคลื่อนไหวไปตามสตอรี่ใหม่ 'ธีรชัย' ตอบคำถามนี้ว่า ที่ผ่านมาเราใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน แต่จากนี้ผู้ถือหุ้นจะเริ่มเห็นแล้วว่า เราลงทุนจริงๆ ซึ่งการลงทุนนั้นสร้างผลตอบแทนที่สูงด้วย เพราะไม่ได้ซื้อกิจการในราคาสูงเหมือนบริษัทอื่น ที่สำคัญการลงทุนใหม่ๆจะช่วยดันราคาหุ้นเอง







