ถ่านหิน “ฟื้น” ไฟฟ้า “เด่น” ความเชื่อ “นายหญิง” บ้านปู

ถ่านหิน “ฟื้น” ไฟฟ้า “เด่น” ความเชื่อ “นายหญิง” บ้านปู

“สมฤดี ชัยมงคล” แม่ทัพหญิงคนใหม่ “บ้านปู” กางแผนพลิกฟื้นธุรกิจ หลังราคาถ่านหินตกต่ำ 3 ปีซ้อน บาลานซ์พอร์ต "ถ่านหิน-ไฟฟ้า" ดันธุรกิจกระเตื้อง

นับตั้งแต่ราคาถ่านหินไหลรูดลง จาก “หลักร้อยเหรียญต่อตัน” เมื่อกลางปี 2555 ลงมาอยู่ระดับเฉลี่ย 59 เหรียญต่อตันในปัจจุบัน หลังสภาวะปริมาณถ่านหินล้นเกินความต้องการใช้ ส่งผลให้ธุรกิจถ่านหินเข้าสู่ “ยุคอุตสาหกรรมตะวันตกดิน” (Sunset Industry) ทันที

จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ฐานะการเงินและราคาหุ้นของ บมจ.บ้านปู หรือ BANPU ผู้ประกอบการที่มีธุรกิจถ่านหินเป็นงานหลัก (Core Business) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ “ชนินท์ ว่องกุศลกิจ” ทิ่มหัวลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่เคยมีกำไรสุทธิสูงถึง “หลักหมื่นล้าน” เหลือเพียง 2.67 พันล้านบาท ในปี 2557 แม้ในอดีตบริษัทจะพยายามหารายได้เสริมจากธุรกิจไฟฟ้า ก็ตาม 

ขณะเดียวกัน ยังทำให้ราคาหุ้น BANPU ลดลงจาก “จุดสุงสุด” 868 บาท (5 ม.ค.2554) มูล ค่าที่ตราไว้ (พาร์) 10 บาท เหลือเพียง 140 บาท (ราคาถ่านหินก่อนแตกพาร์ 10 บาท เหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2556) ปัจจุบันราคาหุ้น BANPU ซื้อขายเฉลี่ย 23.47 บาท

นอกจากนั้น ผลกระทบจากราคาถ่านหินยังส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ หุ้น บ้านปู ที่มีต่อนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จากตัวเลขการถือหุ้นที่ “ลดลงหลายสิบเปอร์เซ็นต์” เนื่องจากในอดีตธุรกิจถ่านหินเคยมีฐานะโดดเด่น หลังราคาถ่านหินเคยมีราคาสูงถึง 180 เหรียญต่อตันในปี 2552

ทว่าปัจจุบัน “ชนินท์” ได้ยกเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่นั่งมานานกว่า 22 ปี ให้ “หญิงเก่งคนสนิท” “สมฤดี ชัยมงคล” ดูแลจัดการองค์กรแห่งนี้ต่อไป หลังตั้งใจจะวางมือตั้งแต่ 3 ปีก่อน แต่เมื่อราคาถ่านหินตกต่ำมากกว่าที่คิด ทำให้ “แม่ทัพใหญ่” จำต้องนั่งทำงานต่อไปจนสถานการณ์ธุรกิจเริ่มคลี่คลาย

“สมฤดี ชัยมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู ยอมรับว่า ตั้งแต่ราคาถ่านหินหักหัวลงสัดส่วนการถือหุ้นของ “นักลงทุนต่างชาติ” ก็หดตัวตามไปด้วย จาก 50 เปอร์เซ็นต์ เหลือไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า การปรับโมเดลองค์กรให้ธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้ามีสัดส่วนเท่ากัน ขณะที่ราคาถ่านหินลงมาอยุ่จุดต่ำสุดแล้วและกำลังจะดีขึ้นในปีหน้าอาจทำให้นักลงทุนมองเราดีขึ้น

ในช่วงที่ราคาถ่านหินตกต่ำ เราได้ใช้เวลาในการปรับองค์กร ด้วย “3 กลยุทธ์” ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา เริ่มเห็นผลแล้ว สำหรับกลยุทธ์ที่ว่า คือ 

1.ดูแลเรื่องต้นทุนควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งบริษัทก็สามารถทำได้ดี เห็นได้จากตัวเลขต้นทุนที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา 

2 ดูแลเรื่องการจำหน่ายถ่านหิน-การตลาด และการจัดส่ง วิธีการ คือ รวม 3 เรื่องไว้ในศูนย์ของประเทศสิงคโปร์เพียงแห่งเดียว เพราะจะทำให้สามารถติดต่อลูกค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service จะทำให้ราคาขายถ่านหินของบริษัทอยู่ในระดับพรีเมี่ยม

ข้อสุดท้าย บริษัทจะผสมถ่านหินจากหลายๆเหมือง เพื่อเพิ่มคุณภาพให้อยู่ในระดับพรีเมี่ยม ปัจจุบันเราผสมถ่านหินจากเหมืองประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลีย 

“หัวใจหลักของการทำธุรกิจ คือ การสร้างกระแสเงินสด ฉะนั้น บริษัทจะพยายามบริหารกระแสเงินสดให้ได้กว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อให้เพียงพอต่อการจ่ายคืนเงินกู้, จ่ายเงินปันผล และการลงทุนใหม่ๆ”  สมฤดี บอกอย่างนั้น

๐ สิ้นปี 58 พร้อมโชว์แผน 5 ปี

เธอ บอกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจ 5 ปีข้างหน้า (2559-2563) คาดว่าจะแล้วเสร็จสิ้นปี 2558 เบื้องต้นบริษัทต้องการขยายขีดความสามารถและกำลังคนทั้งในส่วนของ “ธุรกิจไฟฟ้า” และ “ธุรกิจถ่านหิน” เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวที่อาจสูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจไฟฟ้า

ปัจจุบัน BANPU ดำเนินธุรกิจ 3 ส่วน คือ “ถ่านหิน-ไฟฟ้า-พลังงานทดแทน” 

สำหรับ “ธุรกิจถ่านหิน” ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท วันนี้เรามีเหมืองถ่านหินอยู่ใน 4 ประเทศหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย ,อินโดนีเซีย ,จีน และมองโกเลีย 

จากสถานการณ์ราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับต่ำ มองว่า เป็นโอกาสในการเข้า “ซื้อกิจการ เหมืองถ่านหิน” โดยเฉพาะเหมืองประเทศอินโดนีเซีย หลังบริษัทมีเป้าหมายเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหิน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 480 ล้านตัน คิดเป็น 11-12 ปี เป็น 660 ล้านตัน คิดเป็น 15 ปี แต่ตอนนี้เจ้าของเหมืองหลายแห่งยังไม่ยอมขาย เพราะเขาเชื่อว่า ราคาถ่านหินน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต พูดง่ายๆ ไม่ยอมขายขาดทุนนั่นเอง 

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง เกิดจากภาวะโอเวอร์ซัพพลาย แต่เชื่อว่า หลังจากปีนี้ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล เนื่องจากราคาถ่านหินที่ลดลง ทำให้ปริมาณการผลิตหายไปจากตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะจากเหมืองประเทศอินโดนีเซีย เห็นได้จากกำลังการผลิตในปี 2557 ที่ลดลงกว่า 40% สวนทางกับความต้องการใช้ถ่านหินที่เติบโต 3% ต่อปี

“ปีนี้ความต้องการใช้ถ่านหินของโลกอาจอยู่ระดับ 930 ล้านตัน ขณะที่ปริมาณการผลิตอยู่ที่ประมาณ 935-938 ล้านตัน”

“นายหญิงคนใหม่” ยังวิเคราะห์สถานการณ์ธุรกิจถ่านหินในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า บริษัทอาจมีปริมาณผลิตถ่านหินระดับ 25.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 23.4 ล้านตัน ในช่วงครึ่งปีแรก โดย 6 เดือนหลัง ปริมาณการผลิตจะมาจากเหมืองประเทศอินโดนีเซีย 15.8 ล้านตัน ประเทศออสเตรเลีย 6.6 ล้านตัน และประเทศจีน 2.7 ล้านตัน ทำให้คาดว่าปริมาณการผลิตทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 48.5 ล้านตัน

ทั้งนี้บริษัทได้จำหน่ายถ่านหินล่วงหน้าของครึ่งปีหลังไปแล้ว 97% ในระดับราคา 59 เหรียญสหรัฐต่อตัน บริษัทมีความเชื่อว่า ความผันผวนของราคาถ่านหินจะไม่ส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยของบริษัท เพราะราคาขายถ่านหินเฉลี่ยปีนี้จะลงมาอยู่จุดต่ำสุดที่ 59 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 65.36 เหรียญสหรัฐต่อตัน

“แม้ธุรกิจถ่านหินของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินตกต่ำ แต่ราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินธุรกิจถ่านหิน ก็ปรับตัวลดลงเหมือนกัน ฉะนั้นอาจส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตของบริษัท” 

เธอ เล่าต่อว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เหมืองออสเตรเลียมีปริมาณการขายถ่านหิน 6 ล้านตัน ราคาขายเฉลี่ย 64 ออสเตรเลียต่อดอลลาร์ต่อตัน ถือเป็นราคาที่น่าพอใจ โดยบริษัทมีสัดส่วนการขายตลาดในประเทศสูงถึง 58% ซึ่งเป็นการขายให้กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน อย่างไรก็ดีบริษัทได้มีการปรับสัญญาใหม่ ฉะนั้นราคาขายอาจสูงขึ้นอีก

ส่วนความสามารถในการทำกระแสเงินสดของเหมืองออสเตรเลียเฉลี่ยอยู่ที่ไตรมาสละ 30 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ส่วนต้นทุนในช่วงไตรมาส 1/2558 ลดลงต่ำถึง 46 เหรียญต่อตัน แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2/2558 ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 52 เหรียญต่อตัน เนื่องจากการพักเหมืองบางแห่งทำให้ปริมาณลดลง แต่ต้นทุนเฉลี่ยก็ยังต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 48 เหรียญต่อตัน

ในส่วนของเหมืองถ่านหินประเทศอินโดนีเซีย ช่วงครึ่งปีแรกมีปริมาณการผลิต 14 ล้านตัน ส่วน 6 เดือนหลัง บริษัทมีแผนจะเพิ่มปริมาณการผลิต จากเหมืองทรูบาอินโด (Trubaindo) และบารินโต (Bharinto) เพิ่มขึ้นไตรมาสละ 2 แสนตัน 

โดยทั้งสองเหมือง ถือเป็นเหมืองที่มีคุณภาพถ่านหินดีมาก ทำให้ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญ ส่วนต้นทุนของเหมืองอินโดนีเซียเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 59 เหรียญต่อตัน แต่ครึ่งปีแรกลดลงมาอยู่ที่ 52 เหรียญต่อตัน

สำหรับเหมืองถ่านหินประเทศจีน ในช่วงครึ่งปีแรกมีกำลังการผลิต 5-6 ล้านตัน ส่วนครึ่งปีหลังน่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่าครึ่งแรก ซึ่งเดิมเราวางแผนไว้ว่า จะมีกำลังการผลิตปีละ 6 ล้านตัน แต่ปัจจุบันกำลังการผลิตน่าจะใกล้ 10 ล้านตันต่อปีแล้ว 

บริษัทพยายามจะเข้าไปดูแลต้นทุนของเหมืองเมืองจีนให้มากขึ้น ล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน โดยค่าใช้จ่ายหลายๆ ตัวที่รัฐบาลเคยเก็บ ปัจจุบันมีการผ่อนผัน หลังธุรกิจเหมืองถ่านหินเมืองจีนไม่ค่อยดี ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเรา

ส่วนเหมืองประเทศมองโกเลีย ตอนนี้บริษัทมีอยู่ 3 แห่ง ซึ่งเราจะไม่ขายถ่านหินเพียงอย่างเดียว แต่จะเพิ่มมูลค่าของถ่านหิน ด้วยการแปลงถ่านหินให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันเบา หรือ โคลทาร์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดลองเดินเครื่องจักร อย่างไรก็ดีเราจะขายโปรดักท์นี้ไปยังเมืองจีนด้วย

ทั้งนี้ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลงได้ส่งผลกระทบต่อโครงการดังกล่าว แต่เนื่องจากการลงทุนต้อง มองระยะยาว เพราะกว่าจะก่อสร้างโรงงานเชิงพาณิชย์เสร็จต้องใช้เวลา 3 ปี เมื่อถึงวันนั้นราคาน้ำมั นคงขยับตัวขึ้นแล้ว อีกทั้งประเทศมองโกเลียต้องนำเข้าน้ำมันอยู่แล้ว ทำให้ปัจจัยลบดังกล่าวไม่ส่งผล กระทบต่อเรามากนัก ตรงข้ามถือเป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากช่วงนี้ค่าก่อสร้างและเหล็กมีราคาถูกลง

“บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาลู่ทางการตลาดในจีน เนื่องจากหากขายเพียงถ่านหินราคาอาจไม่ได้กำไรเท่าไร ดังนั้นจึงต้องเพิ่มมูลค่าในถ่านหิน ด้วยการแปลงถ่านหินมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและโรงเหล็ก”

๐เล็งแยกไฟฟ้าเข้าตลาดหุ้นปี 59

“สมฤดี” ยังเล่าถึง “ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า” ว่า ภายในปี 2561 บริษัทมีแผนจะเดินหน้าขยายพอร์ตการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทุกประเภทเป็น 2,300 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 1,400 เมกะวัตต์ และจะขยายตัวเป็น 4,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 เนื่องจากธุรกิจนี้สร้างกระแสเงินดีและรวดเร็ว

สำหรับเป้าหมายธุรกิจดังกล่าว ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2559-2561) เราจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศจีน (BIC) จาก 388 เมกะวัตต์ เป็น 424 เมกะวัตต์ และเพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าหงสา จาก 250 เมกะวัตต์ เป็น 751 เมกะวัตต์ 

นอกจากนั้นโรงไฟฟ้าถ่านหินซานซีลู่กวง (SLG) ประเทศจีน ขนาดกำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 30% คิดเป็น 360 เมกะวัตต์ จะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังปี 2560 สำหรับโรงไฟฟ้าของบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) ซึ่ง BANPU ถือหุ้นอยู่ 50% เบื้องต้นคงมีกำลังการผลิตเท่าเดิม

ปัจจุบัน สัดส่วนธุรกิจไฟฟ้าเริ่มเข้ามามากขึ้น นั่นเป็นเพราะเรามองเห็นโอกาสในธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มวิ่งเข้ามาหาเราเยอะมาก แต่เราต้องเลือกทำ ฉะนั้นมีโอกาสที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจไฟฟ้าและถ่านหินจะเป็น 50:50 ภายใต้สมมุติฐานราคาถ่านหินยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในภาวะปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนกำไรและกระแสเงินสดจากธุรกิจไฟฟ้าประมาณ 35-40%

ทั้งนี้บริษัทเตรียมแยกธุรกิจไฟฟ้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เบื้องต้นอยู่ในกระบวนการเตรียมที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.) 

จุดประสงค์ของการระดมทุน คือ ต้องการนำเงินไปขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นการขยายไปในโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกชนิดอื่นๆ อาทิ แสงอาทิตย์ , ลม , ชีวมวล เป็นต้น หลังเชื่อว่า ความต้องการไฟฟ้าในเขตเอเชีย แปซิฟิก ยังมีประมาณ 500 กิกะวัตต์ ภายในปี 2563 

เธอ เล่าต่อว่า ในส่วน “ธุรกิจพลังงานทดแทน” ซึ่งเป็นงานใหม่ของบริษัท เบื้องต้นตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2559-2561) บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่เดินเครื่องผลิตเพียง 1 โครงการ กำลังการผลิต 4 เมกะวัตต์ นั่นคือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ประเทศญี่ปุ่น (Japan solar) 

ส่วนอีก 33 เมกะวัตต์ ที่บริษัทได้รับใบอนุญาตแล้วคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระดับจนครบภายในปี 2561 ส่วนใหญ่โรงไฟฟ้าของเราจะกระจายอยู่ในตอนเหนือและตอนกลางของประเทศ เบื้องต้นจะใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนการร่วมทุนประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือเป็นการใช้เงินกู้โครงการ (project finance) 

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการประเมินโอกาสการลงทุนและการเข้าซื้อกิจการพลังงานทดแทนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มเติม ทั้งในเมืองจีน อินเดีย และแถบอาเซียน รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเราสนใจทั้งพลังงานลม,แดด และไบโอแมส อย่างก็ดีภายในปีนี้บริษัทอาจได้ข้อสรุปเรื่องการร่วมทุนกับพันธมิตร เพื่อดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากเปลือกไม้ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ทางภาคใต้ของเมืองไทย 

“เลือกลงทุนโซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น เพราะมีความเหมาะสม ช่วยสร้างกระแสเงินสดได้ดี และเร็ว ที่ญี่ปุ่นก็มีการโปรโมทโซลาร์ฟาร์มจำนวนมาก และได้อัตราค่าไฟฟ้าที่สูง"

๐กระแสเงินสดดี-เร็ว “ข้อดี” ธุรกิจไฟฟ้า

เธอ เล่าว่า บริษัทเริ่มลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่กำลังการผลิต 1.43 เมกะวัตต์ เมื่อเดือน ส.ค.2546 ภายใต้ชื่อบริษัทร่วมทุน บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (BLCP) ซึ่งบริษัท บ้านปู โคล เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือถือหุ้นอยู่ 50% โดยโครงการดังกล่าวมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยอายุสัญญา 25 ปี ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 717 เมกะวัตต์

ต่อมาในปี 2553 BANPU ได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined Heat and Power) 3 แห่ง กำลังการผลิต 327 เมกะวัตต์ ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยการถือหุ้น 100% ในบริษัท Banpu Power Investment Co., Ltd (BIC) การลงทุนในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจไฟฟ้า 

สำหรับโรงไฟฟ้าในเมืองจีน ประกอบด้วย “โรงไฟฟ้าล่วนหนาน” (Luannan) มณฑลเหอเป่ย กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 128 ตัน/ชั่วโมง “โรงไฟฟ้าเจิ้งติ้ง” (Zhengding) มณฑลเหอเป่ย กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 48 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 197 ตัน/ชั่วโมง และ “โรงไฟฟ้าโจวผิง” (Zouping) มณฑลซานตง มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 450 ตัน/ชั่วโมง

“เรายังมีโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง กำลังการผลิต 1,200 เมกะวัตต์ ประเทศจีน ซึ่ง BANPU ถือหุ้น 30% เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัย ภายใต้ชื่อ “อุลตร้าซูเปอร์คริติคัล” ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง พร้อมลดการปล่อยก๊าซเสีย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2560” 

“สมฤดี” เล่าต่อว่า บริษัท Hongsa Power Company Limited (HPC) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH และ บริษัท Lao Holding State Enterprise (LHSE) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้เริ่มเดินเครื่องเฟสแรกโรงไฟฟ้าหงสา ด้วยกำลังการผลิต 250 เมกะวัตต์

๐รายได้ครึ่งปีหลัง 58 ดีกว่า 6 เดือนแรก  

“ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” ย้ำว่า แนวโน้มรายได้ในช่วงครึ่งหลังขของปี 2558 อาจขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 1.29 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.25 หมื่นล้านบาท หลังคาดว่าปริมาณผลิตถ่านหินในข่วงครึ่งปีหลังจะทำได้ 25.1 ล้านตัน เพิ่มจาก 23.4 ล้านตันในช่วงครึ่งปีแรก โดยเป็นการผลิตจากเหมืองอินโดนีเซีย 15.8 ล้านตัน ,ออสเตรเลีย 6.6 ล้านตัน และจีน 2.7 ล้านตัน ส่งผลให้ปริมาณการผลิตทั้งปีนี้อยู่ที่ 48.5 ล้านตัน

ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว และการอ่อนค่าของเงินหยวน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาถ่านหินของบริษัทมากนัก เนื่องจากถ่านหินของเรามีคุณภาพดี แต่น่าจะส่งผลต่อถ่านหินที่มีคุณภาพต่ำมากกว่า นอกจากนั้นการที่ทางการจีนดำเนินมาตรการต่างๆเพื่อต้องการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจจีน น่าจะส่งผลดีต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ