'นาโนไฟแนนซ์' เสี่ยงมากแต่ต้องลุย

'นาโนไฟแนนซ์' เสี่ยงมากแต่ต้องลุย

เปิดทัศนะ 'ความฮอต' ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ 'พร้อมทำแม้รู้ว่าเสี่ยง' ชูชาติ เพ็ชรอำไพ นายใหญ่แห่ง 'เมืองไทย ลิสซิ่ง' ยืนยัน

ในเมื่อ 'ธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์มีความเสี่ยงสูงมาก' จากความกังวลที่ว่า เป็นการปล่อยสินเชื่อเงินกู้ชนิดไม่มีหลักประกันที่ชัดเจน และผู้ประกอบการอาจไม่สามารถตรวจสอบแหล่งรายได้ของลูกหนี้ได้ เป็นต้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักของสินเชื่อดังกล่าว คือ บุคคลที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้

แต่เหตุใด? เอกชนหลายสิบราย จึงพร้อมใจกันลงสนามชิงเค้กก้อนใหญ่ ด้วยการปรับโมเดลการทำธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บมจ.ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD ซึ่งบริษัท เงินสดทันใจ จำกัด บริษัทในเครือได้ใบอนุญาตธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ล็อตแรกไปแล้ว เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

พร้อมกับผู้ประกอบการอีก 3 ราย คือ บมจ.แมคคาเล กรุ๊พ ผู้ประกอบการกิจการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม จังหวัดปทุมธานี ,บริษัท ไทยเอซ แคปปิตอล จำกัด ผู้ให้บริการทางด้านการเงินครบวงจร และบริษัท สหไพบูลย์ (2558) จำกัด ผู้ประกอบกิจการประเภทการให้สินเชื่อ จังหวัดร้อยเอ็ด

นอกจากนั้นยังมีบมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส หรือ JMT บริษัทลูก บมจ.เจ มาร์ท หรือ JMART ,บมจ.ไอร่า แอนด์ ไอฟุล บริษัทในเครือ บมจ.ไอร่า แคปปิตอล หรือ AIRA บมจ.เอส 11 กรุ๊ป หรือ S11 บมจ..ฐิติกร หรือ TK บริษัท กรุงไทย ออโต้ ลีส จำกัด และบมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง หรือ MTLS เป็นต้น

โดยในช่วงที่ผ่านมา JMT ได้เตรียมความพร้อมเรื่องเงินลงทุนแล้ว ด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุน 45 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาทต่อหุ้น ราคาหุ้นละ 14.20 บาท ให้กับนักลงทุน 9 ราย นำทีมโดย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS และ “นเรศ งามอภิชน” นักลงทุนวีไอรายใหญ่ สัดส่วนการลงทุนฝ่ายละ 5.22%

'แม้ยงสูเสี่งแต่ต้องลุย'

'ชูชาติ เพ็ชรอำไพ' ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง หรือ MTLS ยอมรับกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ว่า แม้จะรู้ดีอยู่เต็มอกว่า สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ มีสารพัดความเสี่ยง เพราะเป็นเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกัน แต่เราคงหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำไม่ได้ เนื่องจากถือเป็นแหล่งสร้างเงินแห่งใหม่ของบริษัท

'หากไม่โดดขึ้นรถไฟขบวนนี้ บริษัทจะตอบคำถามผู้ถือหุ้นอย่างไร'

ธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ถือเป็นงานที่ยากลำบาก เพราะลูกหนี้ส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าที่ไม่สามารถแสดงแหล่งที่มาของเงินได้ ฉะนั้นอนาคตอาจมีปัญหาเรื่องติดตามหนี้สิน อย่าลืมว่า กหัวใจ สำคัญของธุรกิจนี้ คือ การเก็บหนี้ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องดูแลระบบติดตามหนี้ให้ดี
ล่าสุดบริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาตธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์กับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว คาดว่าภายในไตรมาส 2 ปี 2558 จะได้รับใบอนุญาต เบื้องต้นตั้งเป้าหมายการเป้าสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท

ตามแผนบริษัทจะปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ให้ลูกค้าชั้นดีก่อน ปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าทั้งหมดประมาณ 6-7 แสนราย ทั้งนี้เราคงต้องทำธุรกิจนี้อย่างระมัดระวัง เพราะเท่าที่รู้ผู้ประกอบการที่ได้ใบอนุญาตไปแล้ว 4 ราย ยังไม่มีใครปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าสักราย

'สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์จะเป็นเพียงรายได้เสริมของบริษัทเท่านั้น ฉะนั้นหากบริษัทเปลี่ยนใจ ไม่ทำสินเชื่อดังกล่าว ผลประกอบการก็เติบโตทุกปีอยู่แล้วประมาณ 30% จากการทำธุรกิจสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ โดยปีนี้ตั้งใจจะปล่อยสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ 500 ล้านบาท'
ประธานกรรมการบริหาร เล่าต่อว่า ในปี 2558 บริษัทได้ขยับเป้าการเปิดสาขาใหม่ทั่วประเทศจาก 150 แห่ง เป็น 300 แห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับล่างที่มีความต้องการเงินแต่ติดข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ฉะนั้นสิ้นปี 2560 บริษัทจะมีสาขาทั่วประเทศ 1.4 พันสาขา เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ระดับ 1 พันสาขา

ขณะเดียวกันในปี 2558 บริษัทจะรุกตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น ด้วยการขยายพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลอีก 5% ส่วนสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์จะอยู่ที่ 70% สินเชื่อรถยนต์เพื่อการเกษตรอยู่ที่ 25% อย่างไรก็ดีสำหรับเรื่องการบริหารความเสี่ยง ภายใต้ MTL Model เราเชื่อว่าจะสามารถรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ระดับ 1.5% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ซึ่งถือว่าต่ำกว่า อุตสาหกรรมที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 4-6%

'ประเดิมปล่อยสินเชื่อกลางเดือนพ.ค.'

'ธิดา แก้วบุตตา' กรรมการ บมจ.ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 หรือ SAWAD บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ว่า แม้บริษัทในเครือจะได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้สามารถปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ได้แล้ว แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้เริ่มปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากอยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติลูกค้า

ล่าสุดมีลูกค้าติดต่อสอบถามเรื่องสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์กับบริษัท 'หลายพันราย' แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นลูกค้าใหม่ ดังนั้นบริษัทจึงต้องใช้เวลาในการคัดกรองลูกค้า เพราะกลุ่มลูกค้าใหม่จะมีความเสี่ยงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับลูกค้าเก่า

'หากไม่มีอะไรผิดพลาดกลางเดือนพ.ค.นี้ บริษัทอาจเริ่มทยอยปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท โดย ในช่วงแรกคงต้องจำกัดความเสี่ยง ด้วยการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง เพราะเป็นธุรกิจใหม่' 'ธิดา แก้วบุตตา' กล่าว

เธอ ถือโอกาสเล่าภาพรวมธุรกิจของปี 2558 ว่า ด้วยความที่เศรษฐกิจในเมืองไทยยังไม่สดใด ขณะที่สถาบันการเงินยังมาเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้บริษัทตัดสินใจออกโปรดักส์ทางการเงินใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ที่ต้องการเงินด่วนไปขยายธุรกิจในวงเงินตั้งแต่ 10-100 ล้านบาท ล่าสุดมีลูกค้าติดต่อขอสินเชื่อแล้ว 2 ราย โดยบริษัทจะพยายามกระจายพอร์ตเข้าไปในกลุ่มลูกค้าทุกขนาด เพื่อกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ

สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2558 บริษัทคาดว่าจะเติบโตประมาณ 20-30% ซึ่งตัวเลขการขยายตัวดังกล่าวยังไม่รวมธุรกิจใหม่ นั่นคือ ธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้และซื้อหนี้เสียมาบริหาร หลังบริษัทมีแผนจะซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่งมูลค่าประมาณ 3-5 พันล้าบาท คาดว่าจะสรุปได้ภายในไตรมาส 2 แต่รายได้จะเติบโตเท่าไหร่ หลังมีธุรกิจใหม่ยังไม่สามารถตอบได้ บอกได้เพียงว่า ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ธุรกิจใหม่จะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 15%

ส่วนแผนขยายสาขาในปีนี้ บริษัทอาจใช้เงินลงทุนประมาณ 60-100 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ 200 แห่ง ส่งผลให้สิ้นปีนี้มีสาขาทั้งสิ้น 1.2 พันแห่ง โดยสาขาใหม่ของเราจะครอบคลุมทั่วประเทศ ถือเป็นการรองรับธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างเร็วๆนี้
'บริษัทได้ปรับเป้าพอร์ตสินเชื่อของปี 2558 จาก 9 พันล้านบาท เป็น 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท หลังมีธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมทัพ ทั้งนี้นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้บริษัทยังคงไว้ในระดับ 4.1%'

'เราจะไม่ทำธุรกิจความเสี่ยงสูง'

'บุญยง ตันสกุล' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย หรือ SINGER ยืนยันว่า จะไม่เข้าไปชิงเค้กในธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ เพราะเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงมาก และไม่เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กร ที่ผ่านมาบริษัทเน้นเพียงการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าเท่านั้น โดยสินค้านั้นลูกค้าต้องนำไปประกอบอาชีพได้จริง ซึ่งจะแตกต่างจากสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ลูกค้าจะนำเงินกู้ที่ได้ไปใช้ในด้านใดบ้าง  

แม้ธุรกิจนาโนไฟแนนซ์จะมีความเสี่ยงสูง แต่ส่วนตัวเห็นด้วยในวัตถุประสงค์ที่ต้องการช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่เข้าไม่ถึงระบบการเงินของสถาบันการเงินต่างๆ แต่สาเหตุที่บริษัทไม่ลงไปทำสินเชื่อดังกล่าวเป็นเพราะอาจเก็บเงินจากลูกหนี้ได้ยาก พูดง่ายๆ ว่า ปล่อยเงินง่าย แต่เก็บเงินยาก เราไม่อยากต้องไปนั่งตามหนี้ลูกค้า ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่บริษัท

เขา เล่าว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เห็นได้จากราคาสินค้าทางการเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำ อาทิ ข้าว และยางพารา ทำให้ชาวบ้านไม่มีเงินมาซื้อสินค้า ฉะนั้นบริษัทจึงได้ปรับแนวการ ทำธุรกิจใหม่ ด้วยการขยายตลาดเข้าไปในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ โดยบริษัทได้เริ่มกลยุทธ์ดังกล่าวไปเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา จากแผนงานดังกล่าว ส่งผลให้ยอดขายในช่วง 1-2 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวดีขึ้น

บริษัทจะใช้กลยุทธ์ขยายระยะเวลาการผ่อนสินค้าจาก 2 ปี เป็น 4 ปี และลดเงินดาวน์สินค้าจาก 10% เหลือ 5% เพื่อช่วยลดภาระในการผ่อนให้กับลูกค้า ส่วนตัวเลข NPL ปีนี้อาจทรงตัวจากปีก่อนที่ 6.5%'

เมื่อถามถึงผลประกอบการในปี 2558 เขาย้ำว่า รายได้รวมอาจเติบโตประมาณ 5-7% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีรายได้ 3.44 พันล้านบาท ส่วนในแง่ของกำไรสุทธิอาจเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 241 ล้านบาท

หลังบริษัทเตรียมขยายมูลค่าการเติมเงินมือถือผ่านตู้ (Airtime) จาก 1.4 พันล้านบาท เป็น 4 พันล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทประมาณ 100-200 ล้านบาท และ 40-50 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันยังวางแผนจะจำหน่ายตู้เติมเงินมือถือเพิ่มขึ้นอีก 700-800 ตู้ต่อเดือน และตู้น้ำมันหยอด เหรียญ 5,000 ตู้   

'ปีนี้เราตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ 2,500 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่มีพอร์ตสินเชื่อ 2,200 ล้านบาท และจะเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 3,000-5,000 บัญชี จากปีก่อนที่มีบัญชีลูกค้า 160,000 บัญชี'

'กรรมการผู้จัดการ' บอกว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาซื้อกิจการขนาดเล็กประมาณ 2-3 แห่ง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต่อยอดกับธุรกิจเดิม เช่น การบริการซ่อมบำรุง เป็นต้น แต่ยังตอบไม่ได้ว่า จะได้ข้อสรุปช่วงไหน เพราะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบฐานะของกิจการ

โดยในปี 2558 อาจใช้งบลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนซื้อรถบรรทุกบรรจุน้ำมัน จำนวน 4 คัน มูลค่า 10 ล้านบาท เพื่อให้บริการน้ำมันแก่ลูกค้าที่มีการซื้อตู้น้ำมันหยอดเหรียญในจังหวัด ภูเก็ต นครสวรรค์ กำแพงเพชร และสุโขทัย ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 15 ล้านบาท จะใช้ในการปรับปรุงสาขาที่มีอยู่ 12 แห่ง และใช้ในการปรับปรุงตู้เติมเงินมือถือจำนวน 8,000 ตู้ ให้เป็นระบบใหม่    

จับลูกค้าเก่าลดความเสี่ยง

'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' ระบุว่า แรกเริ่มของการทำธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ผู้ประกอบการหลายรายอาจเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับ 'ลูกค้าเดิม' ก่อน 'ลูกค้าใหม่' เนื่องจากลูกค้าเก่าส่วนใหญ่เข้าถึงเงินทุนในระบบสถาบันการเงินแล้ว ซึ่งจะแตกต่างจากลูกค้าใหม่ที่บางรายอาจไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบมาก่อน

นอกจากนั้นผู้ประกอบการอาจปล่อยสินเชื่อในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการจำกัดวงเงินการปล่อยสินเชื่อ ควบคู่กับการกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อควบคุมระดับตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ไม่ให้เกินเพดานที่ผู้ให้บริการกำหนด

อย่างไรก็ดีกฎหมายการทวงถามหนี้ฉบับใหม่ หรือ พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้ อาจเป็นเรื่องท้าทายในการทำธุรกิจดังกล่าว เพราะกฎหมายฉบับนี้ตีกรอบการทวงหนี้ชัดเจนว่า 'ห้ามทวงหนี้เกินสมควรแก่เหตุ' ฉะนั้นก่อนปล่อยสินเชื่อของเหล่าผู้ประกอบการคงต้องลงมาจัดระบบติดตามทวงหนี้ให้เหมาะสม

ด้าน 'ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC' ระบุว่า ยอดสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ในช่วง 2–3 ปีแรก อาจอยู่ระดับ 3.5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งความต้องการขอสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์อาจมาจากสองกลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้นอกระบบ 2.กลุ่มลูกหนี้ที่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้

บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า หุ้น เมืองไทย ลิสซิ่ง หรือ MTLS มีโอกาส 'โดดเด่นสุดในกลุ่มการเงิน' เนื่องจากการเติบโตของกำไรสุทธิสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง หลังบริษัทมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนาน ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมสินเชื่อยังอยู่ในขั้นสดใส ส่งผลให้บริษัทมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก

'ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทเปิดสาขาใหม่ไป 170 แห่ง จากเป้าหมาย 300 สาขาในปี 2558 โดยสาขาใหม่แต่ละแห่งจะใช้เวลาคุ้มทุนประมาณ 1.5 ปี ฉะนั้นราคาเป้าหมาย หุ้น MTLS อาจยืนระดับ 22 บาท'