SENA วางรากฐานใหม่ ปั้น'พลังงาน'สู่'Star'

“ธุรกิจพลังงานทดแทน” โมเดลใหม่ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ “ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ส่งสัญญาณเร็วๆนี้ พร้อมจับมือเพื่อนใหม่ผุดโซลาร์รูฟท็อป
เมื่อ “จุดอ่อน” ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือ ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงรอบด้าน เช่น การแข่งขันของผู้ประกอบการ, ความผันผวนของต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ,การขาดแคลนผู้รับเหมา และการสรรหาที่ดิน เป็นต้น “ยุ้ย-ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” กรรมการบริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ หรือ SENA จึงต้องเร่งฝีเท้าออกควานหา “งานที่ทำเงินสม่ำเสมอ”
“ธุรกิจพลังงานทดแทน” จึงกลายเป็น “จิ๊กซอว์ตัวใหม่” ที่ลูกสาวคนโต จากจำนวน 3 คนของตระกูลธัญลักษณ์ภาคย์ วิเคราะห์แล้วว่า จะมาช่วยสร้าง “ความยั่งยืน” ให้กับกิจการของครอบครัวที่มีอายุเกือบ 30 ปี
“ดอกเตอร์ยุ้ย” จำต้องลดบทบาทอาจารย์พิเศษ เพื่อเข้ามาเริ่มทำงานใน “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” หลังผู้เป็นพ่อ “ธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์” ต้องการผันตัวเองมาเป็นคนเบื้องหลัง หลังสุขภาพไม่ค่อยเอื้ออำนวย แม้ความไม่รู้จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในช่วงแรก แต่ “หญิงเก่ง” ก็ตั้งใจบริหารงาน เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้เป็นพ่อ
ช่วงที่เปลี่ยนมือบริหารมาอยู่ภายใต้การดูแลของ “ทายาทคนโต” บริษัทมีโครงการอยู่ในมือเพียง 2-3 โครงการเท่านั้น โดยโครงการแรกเกิดขึ้นในปี 2527 ชื่อ “โครงการเสนา 84” ซึ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก ราคาขายเฉลี่ย 6 แสนบาท แต่ปัจจุบันมีโครงการเพื่อขายที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหลายสิบโครงการ
หลังเข้ามาบริหารได้ไม่นาน เธอตัดสินใจนำบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย-เช่า และให้บริการด้านที่อยู่อาศัยครบวงจร ภายใต้การบริหารงานของ 5 บริษัทย่อย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนก.ค.2552 ด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชน 175 ล้านหุ้น ราคา 1.98 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันราคาหุ้น SENA ซื้อขายเฉลี่ย 3.32 บาท
“กรรมการบริหาร” เล่าแผนธุรกิจในอนาคตให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า ความเสี่ยงรอบด้านที่คอยกดดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้ผลประกอบการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจ ทำให้บริษัทเริ่มมองหา “ธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอ “หรือที่นักธุรกิจเรียกกันติดปากว่า “Recurring Income”
บริษัทเริ่มเข้าไปชิมลาง “ธุรกิจพลังงานทดแทน” เมื่อปี 2557 ด้วยการลงทุนก่อสร้างโครงการโซลาร์รูฟ ท็อป กำลังการผลิต 750 กิโลวัตต์ คาดว่าจะสร้างกำไรประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี โดยจะเริ่มบันทึกกำไรในช่วงไตรมาส 2 ปี 2558
จากผลการศึกษาพบว่า ธุรกิจพลังงานทดแทน น่าจะเป็นงานที่สามารถตอบโจทย์ความแข็งแกร่งของบริษัทได้ ฉะนั้นคงเดินหน้าทำต่อไป แต่วันนี้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดต่างๆได้ เพราะอยู่ในช่วงการของพูดคุยกับเหล่าพันธมิตรทั้งในและนอกประเทศ บอกได้เพียงว่า ภายในปี 2558 จะเห็น SENA จับมือกับคนเก่งที่มีใบอนุญาตการทำโครงการ โซลาร์รูฟ ท็อป หรือ โซลาร์ฟาร์ม ซึ่งเราคงไม่สามารถทำคนเดียวได้ เพราะไม่มีความรู้มากพอ
“หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน เราจะมีรายได้จาก Recurring Income เพิ่มขึ้นจาก 8% เป็นประมาณ 10-12%”
“ดร.เกษรา” เล่าต่อว่า สำหรับธุรกิจหลักอย่าง “อสังหาริมทรัพย์” เราจะเดินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่มีชื่อว่า “ไฟนีออน” วิธีการ คือ จะนำคุณสมบัติพิเศษของหลอดไฟนีออนมาดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะ “ความสว่าง”
เธอ ขยายความว่า เมื่อเรามีแผนจะเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก ฉะนั้นต้องเร่งสร้างแบรนด์ SENA ให้เป็นที่จดจำของผู้บริโภคให้ได้ โดยภายในปี 2558 บริษัทมีแผนจะโดดเข้าสู่ตลาดกลุ่มลูกค้าระดับบีบวกที่มีฐานรายได้ระดับ 100,000 บาท
ด้วยการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 11 แห่ง มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 6 แห่ง และแนวสูง 5 แห่ง สำหรับสาเหตุที่บริษัทลงมาเล่นตลาดนี้ เป็นเพราะต้องการกระจายความเสี่ยง หลังภาวะหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
จากการกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้เราวางเป้าหมายรายได้ในปี 2558 ที่ระดับ 3,000 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 2557 ประมาณ 20% โดยจะบันทึกรายได้จากยอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ หรือ Backlog ที่มีอยู่ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายแนวสูงกว่า 60% แนวราบ 33% และธุรกิจที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ 10%
“อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2558 อาจยืนระดับ 40% เท่าปีก่อน ส่วนอัตรากำไรสุทธิคงประเมินลำบาก แต่นับตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้น ผลประกอบการของเราขยายตัวทุกปีเฉลี่ยปีละ 12-25%”
เธอ ประเมินทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 ว่า คงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปี 2557 หลังการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ขณะที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ นอกจากนั้นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอาจปรับตัวลดลง จากปัจจัยดังกล่าวคงจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไปต่อ
เมื่อถามว่ามีความกังวลเรื่องใดบ้าง? “เอ็มดีใหญ่” ตอบว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่มีอัตราสูงขึ้น ถือเป็นเรื่องน่าห่วง เห็นได้จากยอดปฏิเสธสินเชื่อลูกค้าของ SENA ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 5-8% เป็นประมาณ 20% แต่การที่เราหันมาเจาะตลาดบนอาจทำให้ปัญหาดังกล่าวเบาบางลง
“ราคาที่ดินปรับตัวสูง และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ หากมองลึกเข้าไปจะพบว่า ปัจจัยที่ช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2557 คือ ความต้องการที่อยู่อาศัย และสินค้าใหม่ที่ออกสู่ตลาด มีตัวเลขที่สมดุลกัน ขณะที่การเมืองมีความเสถียรภาพมากขึ้น ในช่วง 6 เดือนหลังของปีก่อน”
“นายหญิง” บอกว่า จากนี้ไปเราอยากเห็น “องค์กรมีความรวดเร็วทันเหตุการณ์มากขึ้น” เพราะที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อ่อนไหวต่อหลายๆปัจจัย โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สามารถควบคุมได้ นอกจากนั้นอยากเห็น “ฐานะการเงินมีความมั่นคง” โดยเราจะพยายามดูแลเรื่องสุขภาพการเงินให้แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
ตามหลักการแล้ว อัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ที่ดีควรอยู่ในระดับไม่เกิน 1.5 เท่า ซึ่งปัจจุบันอัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทยืนอยู่ระดับ 1.4 เท่า สำหรับในกรณีที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนขนาดใหญ่ เราจะไม่ทำงานคนเดียว แต่จะหาเพื่อนเก่งๆ มาร่วมดำเนินการ เพื่อช่วยกันแชร์เงินลงทุน
“ปัจจุบันหุ้น SENA มีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติประมาณ 10% ถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญที่ต่างชาติสนใจหุ้น SENA มากขึ้น อาจเป็นเพราะตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้นได้มีการจ่ายเงินปันผลมาแล้วทั้งหมด 16 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งได้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8% และจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในแต่ละปีของงบการเงินเฉพาะกิจการ”
“เสี่ยงต่ำ” เทคนิคเล่นหุ้น ดร.ยุ้ย
“ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” เล่าถึงสไตล์การลงทุนว่า การลงทุน คือ การออมเงินที่ดีทางหนึ่ง เมื่อมีหลักคิดเช่นนั้น รูปแบบการลงทุนจึงไม่หวือหวา แต่ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้างต้องอย่าลืมแบ่งเงินสดไว้ประมาณ 15% เพราะอนาคตเราไม่อาจรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เช่น หุ้นที่เราชอบปรับตัวลดลง หากมีเงินก็จะสามารถซื้อได้ทันที แต่ถ้าไม่มี ถือว่าเสียโอกาส
“ส่วนใหญ่จะชอบลงทุนตราสารหนี้ประมาณ 60% และตลาดหุ้น 25% ที่เหลือเก็บเป็นเงินสด ปัจจุบันพอร์ตลงทุนยืนอยู่หลักสิบล้าน”
ถามว่าปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในมือกี่ตัว? เธอ ตอบว่า ประมาณ 10 ตัว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน สาเหตุที่ชื่นชอบหุ้นกลุ่มนี้เป็นเพราะกำลังอยู่ระหว่างศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจดังกล่าว ทำให้รู้ดีว่า กลุ่มพลังงานทดแทนมีอัตราเติบโตระดับเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคาร ด้วยความที่ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนพิเศษเกี่ยวกับการเงิน ทำให้รู้ว่า ธุรกิจนี้เป็นเช่นไร
“ที่ผ่านมาพอร์ตลงทุนระยะสั้นได้สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 7-10% ส่วนพอร์ตลงทุนระยะยาวจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ”
การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องเข้าใจธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน ที่สำคัญอย่าลืมว่า นักลงทุนทุกคนไม่ได้เหมาะกับการลงทุนในหุ้นทุกประเภท สำหรับหลักปฏิบัติ
ส่วนตัวที่ยึดมาตลอด คือ ก่อนจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวไหนจะใช้ช่วงวันหยุดศึกษาหาข้อมูล ด้วยการอ่านบทวิเคราะห์ และสอบถามข้อมูลจากโบรกเกอร์ “ดอกเตอร์ยุ้ย” กล่าวทิ้งท้ายบทสนทนา







