'Low Carbon Destination' สุขบันดาลที่..เกาะหมาก

'Low Carbon Destination' สุขบันดาลที่..เกาะหมาก

ไม่มีอะไรในเกาะหมาก มีแต่การต้อนรับที่เรียบง่าย ปลอดภัยและอุ่นใจ มาแบบไม่มีอะไร แต่ที่ได้กลับไปคือ “ความสุข”

“หลายคนเรียกที่นี่ว่า..เกาะที่ไม่ถูกตามใจ”

คำของ พลตรีหญิงจรัสพิมพ์ ธีรลักษณ์ ผู้จัดการพื้นที่พิเศษหมู่เกาะช้างและพื้นที่เชื่อมโยง ที่กล่าวถึง “เกาะหมาก” ขณะร่วมงาน “Koh Mak Unplugged Fest” ผลผลิตจากความมุ่งมั่นของ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และชาวเกาะหมากทุกภาคส่วน ในการสร้างแบรนด์ที่นี่สู่ Low Carbon Destination แหล่งท่องเที่ยวที่มีการปลดปล่อยคาร์บอนต่ำ รับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ของโลก

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงเกาะหมากได้แจ่มชัด กับเกาะที่ขึ้นชื่อว่า "ไม่มีอะไรใน" ไม่มีขยะ ไม่มีโจร ไม่มีเจ็ทสกี ไม่มีร้านสะดวกซื้อ ไม่มีผับบาร์ และสถานบันเทิงยามค่ำคืน ไม่ตามใจ ไม่สปอยล์ ฯลฯ มีแต่การต้อนรับที่เรียบง่าย อบอุ่น ปลอดภัยและอุ่นใจ

ในวันนี้แม้จะมีอายุครบ 111 ปีแล้ว แต่หลายๆ อย่างที่นี่ ก็ยังไม่แปรเปลี่ยน เกาะเล็กๆ ยังอยู่ในมือของลูกหลาน “หลวงพรหมภักดี” (เปลี่ยน ตะเวทีกุล) ที่ดินประมาณ 90% ถือครองโดย 5 ตระกูล คือ ตะเวทีกุล,สุขสกิตย์,วงษ์ศิริ,จันทสูตร และ สุทธิธนกูล ไม่มีทุนใหญ่ ไม่มีเชนโรงแรมดัง ไม่มีการแข่งขันตัดราคา พวกเขาไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่ แต่ใช้ต้นทุนเดิมที่มี คือ “วิถีชุมชนเกาะหมาก” เป็น "จุดขาย"

“เราเป็นตัวของเราเอง ไม่ได้พยายามเปลี่ยนไปตามกระแสของการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวบางที่ ผมอยากเรียกว่า เหมือนทำไร่เลื่อนลอย คือ ไปสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจขายได้พักหนึ่ง ฮือฮาอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ตกลง ต้องไปเริ่มคิดอะไรกันใหม่ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนอย่าง กิจกรรมป้อนนมแกะ เป็นต้น”

“ธานินทร์ สุทธิธนกุล” ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เกาะหมากและผู้บริหารร้านอาหารเกาะหมากซีฟู้ด หนึ่งในพลังขับเคลื่อนเกาะหมากสู่ Low Carbon Destination สะท้อนแนวคิดการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่พวกเขาปักธงไว้ตั้งแต่ต้น แล้วถ่ายทอดความภาคภูมินี้ไปยังผู้คนทั้งชุมชน เพื่อให้ทุกคน “ร่วมมือ” และ “ร่วมได้” ไม่ใช่ผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง

เกาะหมากมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1 แสนคนต่อปี เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3-5% ทว่าสิ่งที่สำคัญไปกว่านักท่องเที่ยว “จำนวนมาก” คือ นักท่องเที่ยว “คุณภาพ” ที่มีความเข้าใจและพร้อมรักษาเกาะหมากไปกับพวกเขา เพราะถ้าเน้นแต่ปริมาณ แหล่งท่องเที่ยวก็จะทรุดโทรม ไม่มีเสน่ห์ ไม่มีจุดขาย

“เราอยากใช้คำว่า Put the right people on the right place คือ เอาคนที่ถูกต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้อง เขามาเพราะชอบแบบนี้ ซึ่งจะแฮปปี้ทั้งคนต้อนรับและนักท่องเที่ยว”

ถ้ามองในเชิงธุรกิจ จะทำอย่างไรให้จำนวนคนที่ไม่เพิ่มขึ้น นำมาซึ่งผลกำไรที่มากขึ้น นั่นคือการทำให้คนกลุ่มเดิมพอใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นนั่นเอง จากค่าใช้จ่ายที่ประมาณ 3 พันบาท ต่อคนต่อวัน มาเป็น 4-5 พันบาท โดยการเพิ่มกิจกรรม ที่ล้อไปกับคอนเซ็ปต์ “Low Carbon” เช่น กิจกรรมทัวร์จักรยาน การเป็นจุดพักของนักเล่นเรือใบ เป็นต้น

พวกเขาเปิดตัว3 แคมเปญหลัก คือ Eat it Fresh รณรงค์ให้ผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และรีสอร์ท บนเกาะหมาก ซื้ออาหารทะเลจากเรือประมง เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่ง และตอบความเป็น Green Logistic กระตุ้นให้ชาวเกาะหมากลุกมาปลูกผักและผลไม้ปลอดสาร เพื่อปรุงอาหารให้ลูกค้า ที่จะได้ทั้งความสะอาด ปลอดภัย และ ยัง “ได้ใจ” คนทานด้วย

แคมเปญ Help Keep Koh Mak counting to 10,000 trees รณรงค์ให้นักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรม “รักษ์โลก” โดยที่พักต่างๆ จะมีแบบฟอร์มสำรวจพฤติกรรม Low Carbon อาทิ บริโภคอาหารท้องถิ่น, ใช้ผ้าเช็ดตัวซ้ำ, ไม่เปิดน้ำทิ้งขณะแปรงฟัน และปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้ เหล่านี้เป็นต้น ปฏิบัติได้ 1 ข้อ ก็จะได้รับต้นไม้ 1 ต้น มาร่วมลดคาร์บอนและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เกาะหมาก

ปิดท้ายกับ หน้าบ้างน่ามอง ความร่วมมือของพลเมืองเกาะหมากที่จะเป็น “เจ้าบ้านที่ดี” เปลี่ยนที่นี่ให้น่าอยู่ขึ้น

ขณะที่ผู้ประกอบการบนเกาะหมาก ต่างก็ยกมือร่วมกิจกรรมลดคาร์บอนอย่างจริงจัง หลังร่วมลง “ปฏิญญาเกาะหมาก” ไปเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ว่าจะ ทำเกษตรอินทรีย์ ไว้บริการนักท่องเที่ยว การคัดแยกขยะ แล้วนำไปขาย ทำปุ๋ยชีวภาพ และผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า การใช้พลังงานทดแทนโซลาเซลล์ เหล่านี้เป็นต้น

ผลของความพยายามไม่เพียงลดคาร์บอน ทว่ายัง “ลดต้นทุน” ของการประกอบการลงได้ด้วย

“จักรพรรดิ์ ตะเวทีกุล” นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดตราด และผู้บริหารเกาะหมาก รีสอร์ท บอกว่า การทำเกษตรอินทรีย์ สามารถประหยัดต้นทุนด้านการขนส่งลงได้มาก หากใครผลิตได้เหลือใช้ก็ยังจำหน่ายให้รีสอร์ทอื่นๆ ในราคาที่ยุติธรรมได้ด้วย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดต้นทุนการซื้อผักจากในเมือง ส่วนขยะเปียกที่ได้จากครัวต่างๆ จะถูกขนย้ายไปที่โรงคัดแยกขยะเพื่อทำปุ๋ยชีวภาพ และในอนาคตบางรีสอร์ทจะผลิตปุ๋ยชีวภาพใช้เอง เพื่อให้เกิดเกษตรอินทรีย์ครบวงจร

ขณะที่การทดลองนำโซลาร์เซลมาใช้กับ เกาะหมาก รีสอร์ท เมื่อประมาณ 2 ปี ก่อน เขาบอกว่า สามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ ประมาณ 15% และมองว่า เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า

“นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะยุโรปเริ่มคอนเซิร์นกับเรื่อง Low Carbon มากขึ้น เขาชอบและสนับสนุนมากกับนโยบายนี้ ก็เชื่อว่า คอนเซ็ปต์นี้จะทำให้นักท่องเที่ยวสนใจเกาะหมากมากขึ้น แต่ก็ต้องย้ำว่า เราไม่ได้ต้องการนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ”

เขาบอกจุดยืนของการทำธุรกิจบนเกาะหมาก ที่ต้องควบคู่ไปกับการรักษาธรรมชาติ และสิ่งๆ ดี เอาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนเกาะอื่น ทั้งยังต้องล้อไปกับนโยบายของจังหวัดตราด ในการเป็น Green City ได้อีกด้วย

“ธนันธน์ อภิวันทนาพร” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจต่างประเทศและการตลาด สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หน่วยงานที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ของเกาะหมาก บอกเราว่า กระแสการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโลกของเรา ต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อนที่เท่าทวีขึ้นทุกปี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็เป็นหนึ่งต้นเหตุสำคัญของการปลดปล่อยคาร์บอนป้อนโลก

“ประเทศไทยไม่ได้ต้องการ Mass Tourism เราต้องการ Niche ที่สร้างมูลค่าได้ เพราะประเทศเราไม่ได้ใหญ่ ดังนั้นต้องหาตำแหน่งยืนที่ดี ซึ่ง Sustainable Tourism หรือการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ก็เป็นหนึ่งเป้าหมาย”

เขายกตัวอย่าง เกาะหมาก ที่กำลังตอบโจทย์ด้วยการเป็น Low Carbon Destination แต่การจะทำให้คนยอมรับได้นั้น ต้องทำอย่างมีกลยุทธ์ เขาบอกสเต็ปของการสร้างแบรนด์ที่ประกอบด้วย “Like , Love และ Royal” เริ่มจาก Like คือทำให้เกิดการรับรู้(Awareness) โดยใช้สื่อโซเชียลเป็นหลัก จากนั้นก็ไปสู่ Love เกิดความผูกพันและมีส่วนร่วม (Engagement) ระหว่างนักท่องเที่ยวและชาวเกาะหมาก เช่น ร่วมกิจกรรมรักษ์โลกด้วยกัน สุดท้ายก็จะไปสู่ Royal คือ กลายเป็นแบรนด์ในดวงใจ ที่เขาจะจงรักภักดีต่อไป

เกาะหมากเป็นเกาะเล็กๆ แต่ผู้คนที่นี่มีหัวใจดวงใหญ่ ไม่ใช่แค่ชาวเกาะหมากดั้งเดิมเท่านั้น แม้แต่ผู้มาใหม่ที่หลงรักที่นี่ ก็พร้อมเปลี่ยนสถานะจากนักท่องเที่ยว มาเป็น “อาสาสมัคร” เพื่อชุมชนเกาะหมาก

“บอล” เจ้าของเฟซบุ้ค “KohMak Ball” คือ อดีตหนุ่มเมืองกรุงที่มาใช้ชีวิตบนเกาะหมากได้ประมาณ 12 ปี เขาคืออาสาสมัครสำรวจเส้นทางจักรยาน ที่จะนำนักท่องเที่ยวลัดเลาะไปเจอเกาะหมากในแง่มุมใหม่ๆ

ขณะที่คนอื่นอาจเลือกกิจกรรม “สบายๆ” มาเอาใจนักท่องเที่ยว แต่บอลกลับชวนนักท่องเที่ยวของเขาให้ไปปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ไปเก็บขยะรอบเกาะหมาก เขาว่า ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการดูแลที่นี่ และรู้สึกผูกพันกับเกาะหมากมากขึ้น เวลาเดียวกันก็ชักชวนให้ชาวเกาะหมาก ร่วมเป็น “เจ้าบ้านที่ดี” เขาชี้ให้ดู ตู้ยาและท่อใส่น้ำส้มสายชู ที่ติดตั้งไว้บริเวณหน้าชายหาด เพื่อเวลาที่นักท่องเที่ยวถูกหอยบาด หรือถูกแมงกะพรุนไฟเล่นงาน ก็จะได้มีอุปกรณ์ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้

เกาะหมากคือเมืองที่ “ไม่มีอะไร” แต่ทำไมใครๆ ถึงยังชอบมาเกาะหมาก “ธานินทร์ สุทธิธนกุล” หนึ่งในลูกหลานชาวเกาะหมาก ยกคำพูดของเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเที่ยวเกาะหมากทุกปี ตลอด 20 ปี ที่ผ่าน ว่า ทุกครั้งที่เขามาที่นี่ มั่นใจได้ว่า จะยังเจอเพื่อนคนเดิม ชาวประมงคนเดิม สถานที่เดิมๆ หาดทรายที่เคยนอนก็ยังเหมือนเดิม เกาะหมากไม่เคยเปลี่ยนไปไม่ว่าจะกลับมากี่ครั้ง..

เพราะที่นี่ “ไม่มีอะไร” แต่ที่ทุกคนจะได้กลับไปทุกครั้ง ก็คือ “ความสุข”