CWT ซุ่มจัดทัพใหญ่ 3 ปี ยอดขาย 3 พันลบ.

CWT ซุ่มจัดทัพใหญ่ 3 ปี ยอดขาย 3 พันลบ.

ได้เวลาออกสังคม!!หลัง“วีระพล ไชยธีรัตต์” แม่ทัพใหญ่ แห่ง “ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป” เก็บตัวเงียบปรับโครงสร้าง

ฐานะการเงินที่เหวี่ยงขึ้นลง ตามภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรม ราคาวัตถุดิบ และอัตราแลกเปลี่ยน ถือเป็นเรื่องแก้ไม่ตกของ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป หรือ CWT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนัง โดยตัวเลขของ “กำไรสุทธิ” ในช่วงปี 2554- ไตรมาส 3 ปี 2557 ที่ระดับ 27.86 , 85.95, -19.78, -31.36 ล้านบาท ตามลำดับ

รวมถึงราคาหุ้น CWT ที่ลดลงจาก “จุดสูงสุด” 13.20 บาท ในปี 2555 ลงมายืน “จุดต่ำสุด” 1.23 บาท ในปี 2557 น่าจะสะท้อนถึงปัญหาเหล่านี้ ซึ่งผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2556 และในช่วง 9 เดือนของปี 2557 เกิดจากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ชะลอตัว หลังหมดนโยบายรถคันแรก แต่หากรัฐบาลอนุมัติโครงการอีโคคาร์ระยะที่ 2 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอาจกลับมาคึกคักอีกครั้ง

บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป จัดจำหน่ายสินค้า 4 ประเภท ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์หนังสัตว์ฟอกและบริการฟอกหนัง ผลิตภัณฑ์ของเล่นสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์หนัง และผลิตภัณฑ์เบาะหนังและชิ้นส่วนหนังสำหรับรถยนต์ โดยในช่วงปี 2556 บริษัทมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในสัดส่วน 34-12-6-48 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เทียบกับปี 2555 ที่มีสัดส่วนรายได้ 34-7-6-53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดบริษัทจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศจำนวน 70 และ 30 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบันการแข่งขันอุตสาหกรรมส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทยในตลาดโลกอยู่ในสถานะค่อนข้างรุนแรง หลังถูกตีตลาดจากผู้ผลิตจากเมืองจีนที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ส่วนอุตสาหกรรมของเล่นสัตว์เลี้ยง ถือว่ามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตไทยได้เปรียบคู่แข่งจากต่างประเทศในเรื่องค่าแรงที่ถูกกว่า เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หนัง แม้วันนี้สินค้าราคาถูกจากเมืองจีนจะเข้ามาแข่งขันในเมืองไทย แต่ผู้ประกอบการไทยยังสามารถแข่งขันได้ เพราะตลาดสำคัญของเมืองไทยอย่างสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ยังคงต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ ส่วนอุตสาหกรรมเบาะหนังสำหรับรถยนต์ในปี 2557 อาจมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 2.6 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 5.96 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศ 1.3 ล้านคัน และส่งออก 1.3 ล้านคัน

“วี-วีระพล ไชยธีรัตต์” กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป เล่าแผนพลิกฟื้นธุรกิจครั้งใหม่ให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังว่า หลังปี 2556 บริษัทโชว์ผลขาดทุน เราก็เก็บเนื้อเก็บตัวมาตลอดทั้งปี วันนี้เรากลับมาพร้อม “ยุทธ์ศาสตร์ใหม่” โดยบริษัทตั้งใจจะผันตัวเองเป็นบริษัท Holding company ด้วยการกระจายแขนขาออกไป เพราะเป้าหมายของเรา คือ ต้องการมียอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2558-2560)

วิธีการ คือ 1.CWTจะก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับเหล่าพันธมิตร เพื่อทำธุรกิจหลักด้วยกัน 2.CWT จะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะเข้าไปลงทุนก่อนบริษัทประกาศขายหุ้นไอพีโอ ซึ่งการเปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี เราจะสามารถกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ และเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท ต่อไปเราจะมีธุรกิจเพียงด้านเดียวไม่ได้แล้ว

ปัจจุบัน CWT มีแขนขาทำงานแล้ว 2 บริษัท นั่นคือ บริษัท พลาทรัพย์ จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจให้เช่าที่ดิน อาคาร และโรงงาน และบริษัท ชัยวัฒนา ทริม จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจผลิตเบาะรถยนต์ เพื่อจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ โดย CWT ลงทุนในสัดส่วน 100 เปอร์เซ็นต์ และ 52.49 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

เขา เล่าว่า จริงๆบริษัทเดินหน้าปรับ “สามกลยุทธ์ใหม่” มาได้ 2 ปีแล้ว โดยเราได้หาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อมาร่วมลงทุนในต่างประเทศ หลังเมืองไทยถูกลดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาจะได้รับสิทธิ เช่น พม่า, กัมพูชา และลาว

สำหรับ “กลยุทธ์แรก” คือ เราได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเจ้าของแบรนด์ “เฟอร์นิเจอร์” เบอร์ 1 ของประเทศพม่า เพื่อร่วมกันผลิตโซฟาหนัง ซึ่งเพื่อนคนนี้ทำธุรกิจเหมือนแบรนด์ Index ในบ้านเรา ที่ผ่านมาบริษัทร่วมงานกับเขามา 4 ปีแล้ว ด้วยการส่งผลิตภัณฑ์หนังให้เขา ล่าสุดมีแผนจะตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยกัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า หลังจากประเทศพม่ามีการเลือกตั้งใหม่ และรัฐบาลออกกฎหมายการลงทุนชัดเจน

“ในปีแรกเราหวังยอดขายโรงงานโซฟาหนังหลักร้อยล้านบาท โดยปีนี้ได้เริ่มทดลองการผลิตไปแล้ว”

“กลยุทธ์ที่สอง” คือ บริษัทได้ร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศกัมพูชา เพื่อทำ “ธุรกิจแปรรูปผลิตของเล่นสัตว์เลี้ยง” คาดว่าปลายปี 2557 จะเห็นการลงทุนร่วมกัน 3 ราย นั่นคือ เจ้าของแบรนด์ ,ผู้ประกอบท้องถิ่น และ CWT ในฐานะผู้ส่งออก เงินลงทุนไม่เกิน 2 ล้านเหรียญ โดยเราจะเป็นผู้ส่งผลิตภัณฑ์หนังให้บริษัทร่วมทุน

“การออกไปทำงานต่างประเทศ เหมือนเราเพิ่งหัดเดินเตาะแตะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มแข็งแรง ผลประกอบการของบริษัทจะดีดตัวอย่างรวดเร็ว ในอดีตเราเคยมียอดขายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกปีละ 200-300 ล้านบาท ฉะนั้นหากเรามีพม่าเป็นเพื่อน เชื่อว่าจะได้เห็นตัวนี้อีกครั้ง”

สำหรับ “กลยุทธ์สุดท้าย” คือ การแตกไลน์ออกไปทำธุรกิจ “พลังงานทดแทน” หรือ โซลาร์รูฟ สาเหตุที่เราเข้ามาสู่ธุรกิจนี้เป็นเพราะ 1.ต้องการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของบริษัท 2.ต้องการขายไฟฟ้าให้กับรัฐที่ให้ค่าส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ ADDER ที่ 6 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันต้นทุนใหญ่ในการทำธุรกิจของบริษัท คือ ค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนบริษัทต้องจ่ายค่าไฟมากถึง 2 ล้านบาท และในอนาคตแนวโน้มค่าไฟฟ้ามีแต่จะแพงขึ้นไม่มีลดลง ฉะนั้นหากเราสามารถลดต้นทุนดังกล่าวได้ ธุรกิจก็จะสามารถแข่งขันได้มากขึ้น

3.สถาบันการเงินมีนโยบายให้เงินสนับสนุนโครงการพลังานทดแทน โดยผู้ประกอบการสามารถวางเงินลงทุนเพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หลังแบงก์มองว่า สุดท้ายแล้วผู้ประกอบการก็จะขายไฟฟ้าให้กับรัฐบาล

หากบริษัทได้รับใบอนุญาตก็จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 4 เมกะวัตต์ เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสนับสนุนจากแบงก์และเงินลงทุนของบริษัท เบื้องต้นเราอาจใช้พื้นที่บนหลังคาโรงงานผลิตหนัง 3 แห่ง และโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีพื้นที่รวมกันทั้งหมดหลายหมื่นตารางเมตร โดยจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 5-6 เมกะวัตต์ ปัจจุบันบริษัทมีการศึกษาโครงการดังกล่าวไว้แล้ว รอเพียงนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลเท่านั้น

“ปัจจุบันมีการเจรจากับพันธมิตรรายหนึ่งในการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟ) หากรัฐบาลเปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าอีกครั้ง โดยโครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นที่ขนาด 2 เมกะวัตต์”

“ชายวัย 47 ปี” บอกว่า แม้ธุรกิจพลังงานทดแทนจะไม่ใช่ธุรกิจหลักของเรา แต่จะเป็นตัวช่วยสร้างรายได้อีกขาหนึ่ง โดยจะมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 25 ปี ฉะนั้นเราจะมีกระแสเงินสดเข้ามา หลังจากชำระหนี้จากการลงทุนไปแล้วประมาณ 500,000 บาทต่อเดือน และจะคืนทุนได้ภายใน 7 ปี เป้าหมายของบริษัท คือ 2 เมกะวัตต์ ใช้เองในโรงงาน และอีก 2 เมกะวัตต์ ผลิตเพื่อจำหน่าย

เรายังคงมองหาพันธมิตรใหม่ๆ ที่มีธุรกิจแข็งแกร่ง โดยจะเข้าไปจับมือทำธุรกิจด้วยกัน แต่หากธุรกิจแห่งใดที่เสนอให้บริษัทไปเป็นพันธมิตรเราจะไม่ซื้อ เพราะนั่นแสดงว่า ธุรกิจของเขาค่อนข้างอ่อนแอถึงต้องการให้เราเข้าไปช่วย

ล่าสุดมีพันธมิตรจากประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย อยากจับมือกับเรา เพื่อทำธุรกิจเบาะหนังรถยนต์ หลังบริษัทส่งสินค้าให้เขา ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะว่าต้องการให้การลงทุนที่พม่ากับกัมพูชาเสร็จเรียบร้อยก่อน

ถามถึงผลการดำเนินงานในปี 2557 “กรรมการผู้จัดการ” บอกว่า รายได้คงยืนระดับ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 938 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้แล้ว 413.27 ล้านบาท ยอดขายที่เติบโตเเป็นเพราะบริษัทได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายเดิม ขณะที่จะเน้นเพิ่มลูกค้าในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และส่งออกเครื่องหนัง 40 เปอร์เซ็นต์

“กำไรสุทธิในปี 2557 น่าจะออกมาเสมอตัว หลังจากครึ่งปีแรกมีผลขาดทุน 29 ล้านบาท โดยเราจะพยายามทำให้ผลประกอบการทั้งปีไม่ติดลบ”

หลังเราปรับฐาน คำสั่งก็เข้ามาตามความคาดหมาย ทั้งจากค่ายอีซูซุ และฮอนด้า จากคำสั่งซื้อดังกล่าวจะทำให้ปี 2558 เป็น “ปีที่ดี” เพราะแค่สองค่ายใหญ่ ก็ทำให้กำลังการผลิตของเราเต็มแล้ว อย่างค่ายอีซูซุ จะผลิตดีแมกซ์โมเดลใหม่ออกมา ส่วนฮอนด้าก็ผลิตใหม่ทุกโมเดล ทั้งซีอาร์วี ,แอคคอร์ด ,ซีวิค ฉะนั้นบริษัทจึงตั้งเป้าหมายในแง่ของรายได้รวมไว้ว่า อาจเติบโตมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ จากปี 2557

“ปัจจุบันเรามียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 1,200 ล้านบาท ฉะนั้นรายได้ในปีหน้าคงเกิน 1,200 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักยังเป็นการผลิตชิ้นส่วนหนังสำหรับรถยนต์กว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะเติบโตไปตามอุตสาหกรรมรถยนต์ที่คาดว่าจะมียอดผลิตรถยนต์ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคัน”

“วีระพล” บอกว่า ปี 2558 เราจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดเกลี้ยง หลังบริษัทจำหน่ายหุ้นสามัญของ Joyce Service Limited ซึ่งเป็น Holding Company ธุรกิจฟอกหนังในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเราจะบันทึกเงินกลับมาประมาณ 70 ล้านบาท โดยในงบการเงินของ CWT ได้มีการตั้งค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุน Joyce ไว้เต็มจำนวน มูลค่าเงินลงทุนกว่า 70.15 ล้านบาท

สาเหตุที่ CWT ถอนการลงทุนจาก Joyce Service Limited เนื่องจากพิจารณาผลตอบแทนที่ได้ไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน เพราะได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล ก่อนหักค่าธรรมเนียมธนาคารเพียงแค่ 2 ครั้ง รวมเงินปันผลที่ได้รับ 1,033,366 ดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 5,893,847 บาท คิดเป็น 8.40 เปอร์เซ็นต์ ของเงินลงทุนทั้งหมด

“วีระพล ไชยธีรัตต์” เป็นลูกชายคนที่ 6 ของตระกูล จากจำนวนพี้น้อง 7 คน ผู้หญิง 5 คน ผู้ชาย 2 คน หลังพี่ชายเสียชีวิต เขาอาสาเข้ามาดูแลธุรกิจผลิตเฟอร์นิเจอร์หนังต่อทันที โดยที่ผู้เป็นพ่อไม่ต้องพูดอะไร ออกแนวมองตาก็รู้ใจ “สายเลือดพ่อค้าอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิดเราเห็นพ่อแม่ลำบากมาตั้งแต่เด็ก” “วี” บอกอย่างนั้น

หลังเข้ามาดูแลธุรกิจของครอบครัว “วี” มองว่า ในอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นตลาดใหญ่ของประเทศไทย เพราะสมัยนั้นรัฐบาลมีการเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองไทย ทำให้บริษัทตัดสินใจ “พลิกตัวครั้งใหม่” ด้วยการหันมารุกตลาดยานยนต์ โดยการผลิตสินค้าเบาะหนังและชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ “ล้มลุกคลุกคลาน” คือ ผลการทำงานในช่วงแรก เพราะเป็นธุรกิจใหม่ที่รุ่นพ่อไม่เคยทำมาก่อน

ด้วยความที่เทน้ำหนักในกลุ่มยานยนต์มากเกินไป เมื่อเข้าถึงช่วงวัฏจักรขาลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มแย่ ส่งผลให้ผลประกอบการ CWT ในปี 2556 ขาดทุน 19.78 ล้านบาท ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 3 ของปี 2557 หลังบริษัทมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการกลุ่มยานยนต์ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นการส่งออกเครื่องหนัง

“ช่วงที่ให้น้ำหนักสินค้ากลุ่มยานยนต์ ผลประกอบการของเราหวือหวามาก ทำให้เมื่อปีก่อนเราเงียบหายจากแวดวงสื่อไป แต่หลังจากไปจัดการระบบใหม่ ไล่มาตั้งแต่ปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร ลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และมองหาการลงทุนในต่างประเทศ ด้วยการหาเพื่อนเก่งๆ วันนี้เรากลับมาแล้ว”