ตาม "ลายแทง" ทุนใหญ่ ปักธง..! อาเซียน

บิ๊กเนม ดาหน้าตะลุยอาเซียน สกัดออกมาเป็น"How to Success" ตามลายแทงที่พวกเขาขีดไว้ ต่อยอดล่าขุมทรัพย์ให้มรรคผล
“อาเซียน” ตลาด "ใหญ่" ด้วยจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน มากกว่าไทยเกือบ "10 เท่าตัว" ประเทศในภูมิภาคกำลังพัฒนาทำให้ความต้องการ "สินค้าและบริการ" เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตมีมากขึ้น
เท่านี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญให้ "ทุนไทย" โดยเฉพาะบรรดา "บิ๊กเนม" ในหลายเซ็กเตอร์เคลื่อนทัพเจาะ "ขุมทรัพย์" ในภูมิภาคนี้
ทั้งโอสถสภา, เครือสหพัฒน์, เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.), ทีซีซี กรุ๊ป, เครือซิเมนต์ไทย (SCG) และปตท. เป็นต้น
โดยต่างมุ่งสู่การเป็น 'Regional Brand'
ทว่าการบุกอาเซียนนั่นไม่ง่าย !!...เมื่อคู่แข่งจากประเทศชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะพี่เบิ้มในเอเชียทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ต่างตบเท้าเข้าไปลงทุนค้าขายในอาเซียนแย่งส่วนแบ่งตลาดเป็นว่าเล่น
สะเทือนสินค้าเบอร์ 1 จากไทยที่มาร์เก็ตแชร์ดิ่งลง
ยิ่งตลาดกัมพูชาสินค้าไทยครอง "เบอร์ 1" ในอดีตกินส่วนแบ่ง 85% วันนี้ลดเหลือ 50% คำบอกเล่าจากปาก "สยาม รามสูต" ประธาน บริษัท สยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าคร่ำหวอดในสนามซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) มานานร่วม 20 ปี
ปัจจุบันบริษัทเขามีช่องทางจำหน่ายสินค้ากัมพูชา 1.89 หมื่นร้าน ในลาวกว่า 1 หมื่นร้าน และยังมีร้านค้าส่งในพม่า 11 สาขา ใน 4 เมือง รวมทั้งเวียดนาม จากช่องทางขายปลีกสินค้าทั้งหมดในกัมพูชาที่มีไม่ต่ำกว่า 6-8 หมื่นร้านค้า ลาวประมาณ 3-4 หมื่นร้านค้า เวียดนามกว่า 1.6 แสนร้านค้า
เขาเรียกตัวเองว่า "สุภาพบุรุษเออีซี" ฉายภาพสินค้าไทยที่ "บุกเบิก" ตลาดไปล่วงหน้าว่า หนีไม่พ้น "สินค้าอุปโภคบริโภค" หรือ คอนซูเมอร์โปรดักส์
"เครื่องดื่มเอนเนอร์ยี่ดริ๊งค์ก็ไปทั่วภูมิภาค ชาเขียวโออิชิ มาม่าสหพัฒน์ พวกเขาต่างคนต่างไป ไปดิ้นรนหาคู่ค้ากันเอง"
เขายังบอกว่า ที่ผ่านมาตลาดที่ทุนไทยโฟกัส ต้องยกให้ "อินโดนีเซีย" และ "เวียดนาม" จากขนาดประชากรและตลาดใหญ่ โดยมองข้ามตลาด "ลาว"
ทว่าสำหรับเขาแล้ว กลับมองตลาดลาวเป็น "โอกาส" จากไลฟ์สไตล์ภาษา วัฒนธรรม ที่ใกล้เคียงกับไทย จึงน่าจะมัดใจผู้บริโภคได้ไม่ยาก
ขณะที่ "กัมพูชา" เป็นอีกประเทศในอาเซียน ที่น่าสนใจ เพราะการค้าขายค่อนข้าง "เสรี" 20 ปีที่เขาเป็นผู้จัดจำหน่ายกระจายสินค้า โดยพบว่า ชาวกัมพูชาเปิดรับสินค้าต่างชาติมาก
แต่หากเอ่ยถึงประเทศที่มาแรงแซงทุกชาติคือ "พม่า" เหตุผลเพราะเปิดประเทศ เพียงแต่ต้องแก้โจทย์กำลังซื้อในช่วงต้นของการเปิดประเทศให้ได้ก่อน แต่ระยะยาวน่าจะฉลุย !!
"หากเป็นเอสเอ็มอีต้องมองซีแอลเอ็มวีไว้ก่อน เพราะรั้วประเทศติดกัน เจรจาง่าย ส่งออกง่าย เขาไปหาเรา เราไปหาเขา"
ส่วนวิธีเขาไปเจาะตลาดนั้น เขาระบุว่า ระยะแรกสุดควรหา "พันธมิตร" ที่คุ้นเคยตลาด ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายให้
เขายังมองว่า หากยึดตลาดอาเซียนได้ การขยายยัง "จีน" และ "อินเดีย" คือขุมทองที่รออยู่ตรงหน้า
“แค่อาเซียนบวก 2 อย่างอินเดียกับจีนก็กินตลาดครึ่งโลกแล้ว” สยาม วิเคราะห์
ฟากกูรูตลาดภูมิภาคอย่าง "ผศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช" คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เล่าว่า ทัพทุนไทยที่บุกอาเซียนวันนี้ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน คือกลุ่มพี่เบิ้ม และอีกกลุ่มคือ เอสเอ็มอี
"รายใหญ่ไปอาเซียนกันอุตลุด ส่วนรายเล็กไปไม่ได้"
ในฐานะนักวิชาการที่เจาะลึกการค้าการลงทุนในอาเซียน เขาพบว่า "เงินทุน" และ "ตราสินค้า" หรือแบรนด์ เป็นอุปสรรคหลัก เมื่อพิจารณา "ต้นทุน" การดำเนินธุรกิจในพม่า เวียดนาม ที่สูงลิ่ว เฉพาะค่าเช่าที่ดิน ที่ตั้งสำนักงานก็เจอโขกราคาแพงระยับ
"เอสเอ็มอีหมดสิทธิ์" เขาย้ำเสียงเข้ม
ขณะที่แบรนด์ดังของทุนหนา กลับได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างดี อย่าง "เอ็มเคสุกี้" เป็นที่ต้องการมากในพม่า ถึงขั้นทุนท้องถิ่นส่งเทียบเชิญให้ไปเปิดสาขา
อัทธ์ ยังวิเคราะห์ว่า อาเซียนใหม่อย่าง CLMV เวียดนามถือว่านำโด่งด้านกำลังซื้อ ถัดมาคือพม่า ส่วนลาวเป็นอันดับ 3 แต่ไลฟ์สไตล์นักช้อปนิยม "ข้ามแดน" มาซื้อสินค้าในไทยสูง เพราะเป็นเครื่องสะท้อนความมั่งคั่ง สัมผัสความเจริญ
"เทสโก้ โลตัสที่หนองคายเป็นสาขาที่มียอดขายสูงสุดในไทย" เขาการันตี และหากเทียบสินค้าชิ้นเดียวกันหากวางขายในลาว ผู้บริโภคลาวบางรายยังยอมขับรถมาซื้อที่หนองคายและอุดรธานี ด้วยซ้ำ เพราะอยากหรู
อย่างไรก็ตาม การบุกตลาดนอกบ้านไม่ได้สำเร็จเสมอไป ทุนไทยไม่น้อยต้อง "ล้มเหลว" กลับมา เช่น ธุรกิจประดับยนต์จากหนองคาย ข้ามแดนไปเปิดสาขาที่เวียงจันทน์เพราะเห็นว่าตลาดมีความต้องการสูงจากบรรดาเศรษฐีลาว ขับรถ LAND ROVER, Lexus suv ที่ต้องการแต่งรถ แต่เพราะเข้าไปทำธุรกิจแต่ไม่รู้กติกา กฎหมาย ซ้ำร้ายไร้พันธมิตร
"หลายรายจึงต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน"
หรือการทำประมงที่อินโดนีเซีย โมเดลธุรกิจต่างจากไทย ทั้งกฎหมายและประชาชนนับถือศาสนาอิสลาม คือโจทย์ยาก ที่ต้องทำความเข้าใจวัฒนธรรมและสังคม
"แรงงานต้องละหมาดวันละ 1 ชั่วโมง ทุกวัน ใน 1 ปี ต้องมีวันหยุด 1 เดือน คนงานไม่อึดเท่าซีแอลเอ็มวี"
อัทธ์ ยังระบุว่า อีกแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ทุนไทยต้องออกไปโตนอกบ้าน นั่นคือ การที่ไทยกำลังจะถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) โดยเฉพาะกับยุโรปทั้งหมดหลายร้อยรายการในปีหน้า กดดันให้ธุรกิจไทยต้องหนีออกไปลงทุนนอกประเทศ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวังในการออกไปลงทุนนอกประเทศ เช่น พม่าต้นทุนแพงระยับ แค่ "ค่าเช่าที่" ทำร้านอาหารสูงถึง 1.5 แสนบาทต่อเดือน กัมพูชา กำลังจะเผชิญปัญหา "ขาดแคลนแรงงาน" จะตามรอยไทย จากขนาดประชากรราว "14 ล้านคน" หากภาคอุตสาหกรรมเดินเครื่องผลิตเต็มสูบ นั่นคือสิ่งที่ทุนไทยต้องระวัง มองเกมยาวใน 5 ปี อย่าให้ "หนีเสือปะจระเข้"
"สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส เอฟ ซีเนม่า ซิตี้ จำกัด เล่าว่า การเลือกลงหลักปักหมุดในอาเซียน ต้องดูความลงตัวกับธุรกิจนั้นๆด้วย อย่างธุรกิจโรงภาพยนตร์ เอ็นเตอร์เมนต์ เล็งแล้วว่าตลาด CLM (กัมพูชา ลาว และพม่า) เหมาะที่สุด เพราะตลาดยัง "ใหม่" ผู้เล่นน้อย
"3 ประเทศมีโรงหนังน้อยมากๆ" เขาเสียงสูง และว่า กัมพูชามีโรงภาพยนตร์ประมาณ 6 โรง ลาวมีเพียง 2 โรง ซึ่งเป็นของทุนท้องถิ่นทั้งคู่ ส่วนพม่าแม้ยังไม่ลงไปเซอร์เวย์ตลาดเต็มตัว แต่ประเมินคร่าวๆว่า ยังมีโอกาสอีกมาก เมื่อเทียบกับไทยมีโรงภาพยนตร์มีมากถึง "1,200 โรง"
ที่ผ่านมาทุนไทยมักมองข้าม "ลาว" เลยไปชาติอื่นหมด แต่เขาวิเคราะห์ว่า ปัจจุบันผู้บริโภคลาวมีกำลังซื้อสูงขึ้น ประชากรเพิ่มจำนวนขึ้นจาก 6 ล้านคน จึงเกิด "ความต้องการ" ที่เพิ่มเป็นเงาตามตัว
"กำลังซื้อชาวลาวไม่ได้ต่ำ หากไปดูการใช้จ่ายประจำวันของเขาค่อนข้างสูง แม้ค่าแรงจะไม่สูงก็ตาม ชาวลาวมีกำลังซื้อสูง" เขาย้ำ
สำรวจตลาดมานานกว่า 2 ปี จึงเป็นเหตุผลให้การทุ่มทุนผุดโรงภาพยนตร์ในต่างประเทศ "ลาว" จะเป็นด่านแรกของเอสเอฟ แว่วมาว่าปลายปีนี้จะสรุปหลักการร่วมลงทุนกับบิ๊กเนมในลาวผุดโรงหนังแห่งแรก เทียบการลงทุนในประเทศปีนี้ขยาย 50 โรง และปี 2558 เล็งเปิดเพิ่มอีก 40 โรง
ทำไมต้องผนึก "นักลงทุนท้องถิ่น" กลวิธีนี้ สุวิทย์บอกว่า ขึ้นอยู่กับกฎหมายและระเบียบการลงทุนของแต่ละประเทศ เพราะอย่างกัมพูชา ลาว ไม่จำเป็นต้องหาผู้ร่วมทุนก็ได้
อย่างไรก็ตาม ก้าวแรกของการลุยอาเซียนของเอสเอฟ เขาไม่มองใหญ่ถึงขั้นเป็นเบอร์ 1 แต่จะทำทุกวิถีเพื่อให้ขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ครอบคลุมภูมิภาคมากที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าอุปสรรคใหญ่ที่จำกัดการเติบโตคือ "กฎหมาย" และการแข่งขันในสมรภูมินั้นๆ
ด้าน "สุรชัย เพ็ญศิรินภา" ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด 1 ใน 4 ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยาในไทยชี้อุปสรรคใหญ่ของยาคือกฎหมาย เวชภัณฑ์ยาเกี่ยวข้องกับชีวิต ทรัพย์สินผู้บริโภค ก่อความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจเป็นลูกโซ่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ FDA แต่ประเทศเลยเพิ่มดีกรีการสแกนสินค้าเข้าประเทศอย่างเข้มข้น
รวมทั้งการส่งเสริม การพัฒนาสินค้าเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศและทดแทนการนำเข้า การตั้งกำแพงภาษี กำหนดโควต้า สวนหลักการเปิดเสรีทางการค้า หรือข้อพิพาทพรมแดน เช่น ไทย-กัมพูชา มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย ล้วนเป็นป้อมป้องการค้าขาย ผนวกกับความต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมด้วย ขณะที่ไทยมี "จุดอ่อน" เรื่องภาษาที่ต้องปรับปรุงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
ส่วนจะมองตลาดไหนในอาเซียน เขายกให้ "อิเหนา" ที่มีประชากร 251 ล้านคน มากเป็น "อันดับ 4 ของโลก" รองจากจีน อินเดียและสหรัฐ แล้วหาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นร่วมธุรกิจ ซึ่งตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยา จะประสานงานกับภาครัฐ FDA ของแต่ละประเทศได้อย่างถ่องแท้
--------------------------------------------------
ถือเงินสด-ชอบสินค้าไซส์ใหญ่
"สยาม รามสูต" หัวเรือใหญ่ บจก.สยามอินเตอร์ เนชั่นแนล ฉายพฤติกรรมผู้บริโภค"พม่า"ที่เพิ่งเปิดประเทศ แต่ก็มีกำลังซื้อ โดยตลาดจะแบ่งเซ็กเมนต์เป็นล่างและไฮเอนด์ กลุ่มล่างรายได้น้อย ค่าแรงที่ต่ำ ต้องหิ้วปิ่นโตไปกิน ส่วนบรรดาไฮโซแต่งตัวโก้ จะมีแม่บ้าน 2-3 คนถือปิ่นโตหิ้วตาม
ส่วนการจับจ่ายใช้สอยของ"กัมพูชา" เน้นที่ "ไซส์" สินค้าเป็นหลัก หากบนเชลฟ์มีแป้งเย็นให้เลือก 50 กรัม 100 กรัม และ 500 กรัม "ไซส์ใหญ่สุด" จะถูกหยิบไปใช้ เพราะเมื่อหารเฉลี่ยราคาต่อปริมาตร "คุ้มค่า"
"ผู้บริโภคคิดคำนวณละเอียด ดังนั้นสินค้าที่ขายควรเน้นไซส์ใหญ่" ส่วนพฤติกรรมค้าส่ง ลูกค้าจะถือ "เงินสด" มากว้านซื้อสินค้าจากไทยไปขาย เพราะได้ราคาดีกว่า ส่วนมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่ต่อรอง
ที่สำคัญเปิดกว้างรับสินค้าต่างแดน เหมือนไทยในอดีตที่ใครใช้สินค้าญี่ปุ่นจะเท่มาก
นอกจากนี้ ยังแนะดึงกลยุทธ์การตลาดในอดีตของไทยไปประยุกต์ใช้ได้ เช่น "โอสถสภา" เป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จจากการฉายหนังกลางแปลงแล้วขายยา (หนังขายยา) ,การดึงดาราไทยยอดนิยม ร่วมอีเวนท์เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้บริโภคได้ดี หรือการจัดคอนเสิร์ตก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยได้
--------------------------------------------
บิ๊กคอร์ป"ไทยเบฟ-เซ็นทรัล"
ทำไมต้องอาเซียน !!
กับเป้าหมายการรั้งตำแหน่ง 1 ใน 5 ยักษ์เครื่องดื่มครบวงจรในเอเชีย ทำให้ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของเบียร์ช้าง ภายใต้การนำของเจ้าสัวน้อย "ฐาปน สิริวัฒนภักดี" ในเก้าอี้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ต้องบุกหนัก
หากแต่ตลาดสำคัญที่เขาโฟกัสคือ "อาเซียน"
ยุทธศาสตร์การบุกอาเซียน ขยายไลน์สินค้าจากธุรกิจแอลกอฮอล์ สู่นอนแอลกอฮอล์ ซื้อกิจการเสริมแกร่งให้ธุรกิจ กลายเป็น "ทางลัด" ดูดองค์ความรู้ (Know how) ทุกด้านจากบริษัทที่เข้าไปซื้อกิจการที่มีความซับซ้อนอย่างเอฟแอนด์เอ็น (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ในเอเชีย) , เสริมสุข (เอสโคล่า น้ำดื่มคริสตัล) , แม้กระทั่งอินเวอร์เฮ้าส์ในยุโรป มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับตลาดอาเซียน
วันนี้การกรุยทางอาเซียน มีหัวหอกสำคัญคือไทยเบฟ, เอฟแอนด์เอ็น ไม่นับธุรกิจใต้อาณัติของพ่อ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่ยกไปทั้งแผง ทั้งธุรกิจเกษตร, การผลิต, โลจิสติกส์ , ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์
"เพราะวันนี้โลกกว้าง เราสามารถที่จะฉวยโอกาสรอบตัวเรา ถ้ามองแค่ตลาดไทยเชื่อมโยงอาเซียน จะเห็นโอกาสในการขยายการค้ามหาศาล"
เพราะอาเซียนไม่ได้มีแค่ประชากร 600 ล้านคน แต่มี 700 ล้านคนบวกๆ เมื่อรวมตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคนี้
"เราเห็นโอกาสเติบโตอย่างมากในอาเซียน การมองอาเซียนเพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวไม่ไกลเกินไป เรายังมองเลยไปถึงอาเซียนบวก 3 (เกาหลีใต้,ญี่ปุ่น,จีน) บวก 6 (เกาหลีใต้,ญี่ปุ่น,จีน,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,อินเดีย) และบวก9 (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,อินเดีย,รัสเซีย,สหรัฐฯ,และแคนาดา)
หัวใจสำคัญสำหรับไทยเบฟ ตอนนี้คือ "การสร้างความเป็นมืออาชีพ" รองรับองค์กรที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย "ฐาปน" บอก
"เราเป็นองค์กรที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ หลายๆ อย่างต้องเรียนรู้ ต้องปรับตัว บริหารธุรกิจบนความคาดหวังของนักลงทุน"
กระนั้นสำหรับไทยเบฟ เขาย้ำว่ามีความพร้อมในการสร้างบริบทธุรกิจเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
"เราฝันจะเป็นผู้นำในฐานะผู้ประกอบการเครื่องดื่มในอาเซียน และอาเซียนจะนำพาเราไปยังตลาดอีกครึ่งโลก จากการข้อตกลงทางการค้า (Trade Agreement) ต่างๆ"
"ทศ จิราธิวัฒน์" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เล่าเกมการแข่งขันบนโลกการค้าวันนี้ว่า แบรนด์ดังระดับโลกเข้ามาปักธงแบ่งเค้กในตลาดเอเชียมากขึ้น เห็นได้จากยักษ์ใหญ่อย่างกลุ่ม "LVH group" เจ้าของหลุยส์ วิตตอง เข้ามาตั้งกองทุนในสิงคโปร์เพื่อกว้านซื้อแบรนด์ในเอเชีย เจาะกำลังซื้อผู้บริโภคชาวเอเชียอย่างจริงจัง ทั้งยังส่งกลับไปทำตลาดในยุโรปด้วย ไม่เว้นแบรนด์กระเป๋าแพงระยับอย่าง "แอร์เมส" ก็มาซื้อและสร้างแบรนด์ในจีน
ทุนไทยจะอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อพิจารณาความได้เปรียบและแนวโน้มใน 10 ปีข้างหน้า พบว่า อาเซียนมีฐานผลิตน้อย โชคดีที่ไทยอยู่กึ่งกลางพอดี ทำเลที่ตั้งประเทศเหมาะเจาะ สามารถจะขายสินค้าไปยังตลาดบนหรือล่างย่อมได้ อาเซียนกว่า 600 ล้านคน แค่ตลาดรอบบ้านก็กวาดไป 300 ล้านคนแล้ว
"ในระดับภูมิภาค ไทยพร้อมอย่างยิ่ง อยู่ในจังหวะที่ดีสุด สิงคโปร์ มาเลเซียแม้จะร่ำรวย แต่ฐานผลิตไม่มาก เวียดนามกำลังมีเงินเหมือนไทยเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ฐานผลิตยังน้อย พม่าก็ยังไม่มีเงิน แต่ประชากรมีเยอะ ระดับรายได้มีทุกระดับ อยู่ที่ว่าเราต้องการวางตัวเองอยู่ตรงไหน"
แม้น้ำหนักการขยายธุรกิจของเซ็นทรัล จะมุ่งไปยังตลาด "ยุโรป" ที่เติบโตดีสวนทางคู่แข่งหดตัว
ทว่าอาเซียน ทศบอกว่า เขาจะไม่ละทิ้ง !!
ที่ผ่านมาเซ็นทรัลยังเข้าไปเช่าพื้นที่ห้างค้าปลีกในอินโดนีเซีย เปิดห้างสรรพสินค้า และยังรุกเวียดนาม ส่งโรบินสัน แปลงกายเป็น "โรบินส์"
"ในอาเซียนเราจะเน้นมากที่สุด คงจะเป็นเวียดนาม เพราะถือว่าเป็นอนาคต" เขาชี้ลายแทงขุมทรัพย์ และบอกว่า โฮจิมินห์ ซิตี้ มีการพัฒนาเหมือนกรุงเทพฯเมื่อ 15 ปีก่อน เป็นเมืองที่คึกคักมาก หากเดินทางย่ำไปทุก 6 เดือน จะเห็นการเปลี่ยนแปลง
"เจริญกว่าฮานอยเยอะเลย ผมว่าฮานอยยังตามหลัง" เขาย้ำ







