'เที่ยว ช้า ช้า' โมเดลสร้างสุขเมือง 'ร้อยเอ็ด'

เที่ยวแบบเนิบช้าโมเดลยั่งยืนเมืองร้อยเอ็ดที่เป้าหมายไม่ใช่เพื่อกระตุ้นตัวเลขเศรษฐกิจ แต่คือเพิ่มดัชนี'ความสุข'
“ร้อยเอ็ด ต้องเป็นจังหวัดที่น่าอยู่และมีความสุขที่สุดในภาคอีสาน”
คำประกาศของพ่อเมืองร้อยเอ็ด “ดร.สมศักดิ์ จังตระกูล” ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อครั้งเปิดบ้านต้อนรับเหล่าสื่อมวลชนจากส่วนกลาง ให้ไปเยี่ยมเยือน “สาเกตนคร” เมืองแห่งอารยธรรมโบราณ ที่ในวันนี้พร้อมแล้วสำหรับการเป็นจุดหมายแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยว
การนำ “ของดี” ที่หลบซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ เปิดสู่สายตานักท่องเที่ยว ตามยุทธศาสตร์จังหวัด ที่จะขับเคลื่อน ข้าวหอมมะลิสู่สากล พัฒนาคน และพัฒนาแหล่งท่องที่ยว ไม่ได้ถูกทำแบบฉาบฉวย แต่ผ่านการวางแผนและร่วมไม้ร่วมมือ ของชาวเมืองร้อยเอ็ดจากทุกภาคส่วน
โดยเริ่มจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “สร้างจิตสาธารณะ” ด้วยการดึงผู้คนเข้ามามีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในจังหวัด “ลงแขก” ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อสร้างจิตอาสาให้เกิดขึ้นกับชาวร้อยเอ็ด
“ผมชื่นชมชาวร้อยเอ็ดอยู่อย่างหนึ่ง คือ เวลาเขาโทรมาบอกเล่าปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีปัญหาเรื่องหนี้สินบ้าง แต่สิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากปากเขาเลย คือ ‘ผู้ว่าฯ ขอเงินหน่อย’ ไม่มี ทุกคนพยายามช่วยตัวเอง และปัญหาที่แจ้ง ก็จะเป็นเรื่องยาเสพติด การตัดไม้ทำลายป่า บ่อนการพนัน การถูกเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งสะท้อนว่า ทุกคนยังมองภาพสาธารณะเป็นที่ตั้ง ซึ่งน่าดีใจ”
พ่อเมืองร้อยเอ็ด ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียง 3 เดือน บอกความประทับใจที่มีต่อผู้คนที่นี่ ซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัด
เมื่อมุ่งที่จะโปรโมทด้านการท่องเที่ยว หมากรบฉบับสาเกตนครจึงถูกจัดตั้งขึ้น ด้วยแนวคิด ใช้จุดต่างมาสร้างจุดขาย ไม่ทำเหมือนใคร ไม่ตามกระแส แต่ต้องหา “Blue Ocean” ให้การท่องเที่ยว
“เรื่องท่องเที่ยว ถ้าตามกระแสเมื่อไร เข้ารกเข้าพงทันที สิ่งที่เราทำจึงเป็นการ พยายามดึงของที่ดีที่สุด ที่จังหวัดอื่นไม่มี แต่เรามี มานำเสนอ แต่ถ้าเขามี แล้วดีกว่าเรา ก็ให้เขาทำไป ต้องปิดจุดอ่อนของเราให้มากที่สุด”
ของดีที่หาที่ไหนไม่ได้ มีอยู่ทั่วเมืองร้อยเอ็ด ดูได้จากคำขวัญจังหวัด ‘สิบเอ็ดประตูเมืองงาม เรืองนามพระสูงใหญ่ ผ้าไหมสาเกต บุญผะเหวดประเพณี มหาเจดีย์ชัยมงคล งามน่ายลบึงพลาญชัย เขตกว้างไกลทุ่งกุลา โลกลือชาข้าวหอมมะลิ’
เริ่มกันที่ “บึงพลาญชัย” Signature Place ของเมืองร้อยเอ็ด ที่เมื่อมองจากภาพมุมสูงจะเห็นเป็นแผนที่ประเทศไทย แวะชมความยิ่งใหญ่ของ “พระมหาเจดีย์ชัยมงคล” เจดีย์หินทรายวัดป่ากุง (บรมพุทโธร้อยเอ็ด) ชม “พระเจ้าใหญ่” ที่สูงที่สุด ที่วัดบูรพาภิราม ร่วมงาน “บุญผะเหวด” งานบุญใหญ่ของคนที่นี่ ใครชอบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติยังมี “ผาหมอกมิวาย” กับแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย เข้าคอนเซ็ปต์ “เที่ยวร้อยเอ็ด ได้บุญได้ใจ” ที่พวกเขาช่วยกันคิดขึ้น
แม้แต่ของฝากก็ยังประกาศความเป็น “Signature” ไม่ว่าจะเป็น “ผ้าบุญ” ผ้ามงคลของคนร้อยเอ็ด “โหวด” เครื่องดนตรีพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์จาก “ข้าวหอมมะลิ” การันตีด้วย การเป็นเมืองแห่งข้าวหอมมะลิโลก เหล่านี้เป็นต้น
“เราพยายามวางแบรนด์โพสิชันนิ่งของจังหวัด ให้เป็น “Niche Market” เน้นลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ที่มีกำลังซื้อ โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุยุคใหม่ ที่กำลังจะเกษียณหรือเกษียณไปแล้ว ซึ่งกล้าใช้จ่าย มีกำลังซื้อ และซื้อเพื่อหาความสุขให้กับตัวเอง โดยมองคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ”
นั่นคือที่มาของการสร้างร้อยเอ็ดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ หรือที่เรียกกันว่า “Slow tourism”
“เที่ยวช้า ช้า ในจังหวัดร้อยเอ็ด แต่ถ้าอยากเที่ยวเร็วเร็ว มีจังหวะชีวิต ก็ให้ไปภูเก็ต ไปพัทยา” เขาบอกจุดยืน สะท้อนความต่างที่เด่นชัดของที่นี่
เพื่อรองรับการท่องเที่ยว พวกเขาก็วางแผนพัฒนาจังหวัดในหลายๆ ด้าน เช่น การคมนาคม ทั้งการปรับปรุงสนามบิน และเตรียมเสนอให้มีการเพิ่มจำนวนสายการบินและเที่ยวบินในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยอาสาเป็นฮับการบินให้กับจังหวัดใกล้เคียง แก้ปัญหาจราจรในเขตเมือง การขอความร่วมมือจากร้านอาหารทั่วร้อยเอ็ดให้ใช้ข้าวหอมมะลิ โปรโมทการเป็นเมืองข้าวหอมมะลิโลก โดยปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทัวร์ร้อยเอ็ด เป็นคนไทยประมาณ 7 แสนคนต่อปี และต่างชาติอีกประมาณ 7 พันคนต่อปี ซึ่งเขาหวังว่า กลยุทธ์ที่ร่วมใจกันทำขึ้นนี้ จะทำให้มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนไทยเข้ามาเที่ยวร้อยเอ็ดกันมากขึ้น
การพัฒนาจังหวัด ที่ขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจาก “พลังคน” ที่คอยหนุนนำและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับที่นี่ เช่นเดียวกับ “เอ็มม่า-ธนันท์ ดิษเจริญ” เจ้าของร้าน Bb Boutique วัย 28 ปี อดีตนิสิต สาขาการจัดการการท่องเที่ยวและบริการ เอแบค ที่ตัดสินใจทิ้งเมืองหลวงและงานในบริษัทฝรั่ง ไปตอบแทนบ้านเกิด โดยปัจจุบันเอ็มม่าเป็น ผู้จัดการโครงการผ้าบุญร้อยเอ็ด สานต่อนโยบายของ “บัณจง ธนะแพสย์” ประธานหอการค้าจังหวัดร้อยเอ็ด ในการพัฒนาผ้าบุญ ผ้ามงคลของคนร้อยเอ็ด ให้มีโอกาสทางการตลาดมากขึ้นและรักษาภูมิปัญญาพื้นบ้านไม่ให้หายไปกับกาลเวลา
แนวคิดของการพัฒนา เธอบอกว่า ไม่ได้ให้เงิน แต่เลือกให้เครื่องมือ เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ใช้ผลิตผลงาน นำไปขาย เมื่อมีรายได้เข้ามา ก็เอามาหมุนเวียนผลิตชิ้นงานต่อไป จนเกิดเป็นอาชีพที่มั่นคงขึ้นในที่สุด โดยจุดยืนคือ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้น้อยที่สุด และสร้างให้เกิดความรักในงานให้มากที่สุด
“คุณแม่บัณจง (บัณจง ธนะแพสย์)ท่านบอกว่า ขอแค่ให้ประชาชนในร้อยเอ็ด ที่มีอยู่ 1.3 ล้านคน ได้ใช้ผ้าอย่างน้อยคนละผืน ในราคาผืนละ 100 บาท นั่นหมายถึง จะมีเงินสะพัดเกิดขึ้นในจังหวัดถึง 130 ล้านบาท”
ขณะที่ “สมหวัง สุตะคาน” อีกหนึ่งลูกหลานคนร้อยเอ็ด ก็ตัดสินใจออกจากการเป็นลูกจ้างโรงงานเครื่องหนังในกรุงเทพ ไปรวมกลุ่มชาวบ้าน ตั้งเป็นกลุ่มตัดเย็บประเป๋าหนังและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหนัง บ้านหนองมะแซว ต.เมืองน้อย อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเป๋าแฟชั่น แบรนด์ “SW” (สมหวัง) โอทอประดับ 5 ดาว ที่ส่งขายทั้งในไทยและประเทศลาว และกำลังวางแผนเติบใหญ่ในอาเซียน
“มาทำงานนี้ ผมมีความสุข สุขที่ได้ทำให้ชุมชนมีอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น สามารถดูแลครอบครัวเขาได้”
เขาบอกสุขเล็กๆ ของการได้กลับบ้านเกิด มาร่วมพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญขึ้น และมีชื่อเสียงไปถึงแดนไกล เช่นเดียวกับ “ถั่วป่านทอง” ถั่วลิสงแปรรูปที่ขายดีในเวียดนาม ข้าวจี่ยายทวดสำรวย ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และ แม่หวา ปลาร้าบอง ที่ส่งออกปลาร้าไปขายในตลาดโลก เหล่านี้ ก็ล้วนเป็นความภูมิใจของคนร้อยเอ็ดอย่างพวกเขา
กับหนึ่งโมเดลสร้างสุข ที่เหนือไปกว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจ ก็คือ มูลค่าความสุข ที่เกิดขึ้นในใจของพวกเขา







