ตะลุยนอกขุมทรัพย์ "เซ็ปเป้" ขยายอาณาจักร 3 ปี ยอดขาย 5 พันล้าน

“บมจ.เซ็ปเป้“ โชว์กลยุทธ์ขยายอาณาจักร 3 ปี ดัน ”ยอดขาย“ 5 พันล้านบาท “ปิยจิต รักอริยะพงศ์” ทายาทคนกลางของตระกูล
ตีตั๋วนั่งสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาแค่ 2 เดือน ด้วยการขายหุ้น IPO ราคา 13.50 บาท แต่ราคา หุ้น เซ็ปเป้ หรือ SAPPE ทะยานขึ้นแล้ว 148 เปอร์เซ็นต์ “จุดสูงสุด” ที่ทำได้ คือ 33.50 บาท
หุ้นวิ่งไม่หยุด “พ.ท.นพ.วิเศษ วชิรพงศ์” แพทย์เชียงใหม่ รุ่นที่ 27 หลานชาย “เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์” ในฐานะผู้ถือหุ้น SAPPE อันดับ 7 สัดส่วน 6 ล้านหุ้น คิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ โกยกำไรเข้ากระเป๋าไปเต็มๆ
ขณะที่ “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เซียนหุ้นวีไอรายใหญ่ แม้วันนี้ไม่ได้ถือหุ้น SAPPE แต่ก็ได้รับส่วนต่างจากราคาหุ้นไอพีโอไปเพียบ หลังจับจองหุ้นไอพีโอจำนวน 1 ล้านหุ้น และเทขายทำกำไรในช่วงแรกๆ
“ความฮอต” ของหุ้น SAPPE ทำให้คนในแวดวงตลาดหุ้นพูดติดตลกว่า ราคาแรงกว่าหุ้น อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI ที่พุ่งขึ้นเพียง 123 เปอร์เซ็นต์ (นับจากวันแรกของการซื้อขาย 21 เม.ย.2557) ทั้งๆที่ธุรกิจมีขนาดใหญ่กว่า วัดจากฐานทุน-รายได้-กำไร แถมยังมี “ตัน ภาสกรนที” เจ้าพ่อชาเขียวเป็นเจ้าของ
“บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพความงาม แถมยังมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ ผ่านตัวแทนจำหน่าย 59 ราย 50 ประเทศทั่วโลก” “อ้อ-ปิยจิต รักอริยะพงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.เซ็ปเป้ พูดถึงพื้นฐานที่ดีของบริษัทให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง
ตั้งแต่บริษัทเข้าตลาดหุ้นมีนักลงทุนสถาบันทั้งภายในและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ติดต่อขอข้อมูลบริษัทมากมาย ส่วนใหญ่อยากรู้จักเราให้ดีกว่านี้ ทายาทคนรองของ “อนันท์ รักอริยะพงศ์” ในฐานะหุ้นใหญ่ 15 เปอร์เซ็นต์ เล่าความลับ
เธอบอกว่า คุณพ่อมีแนวความคิดต้องการผลักดันธุรกิจครอบครัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ ท่านจึงต่อสายตรงนัดทานข้าวกับลูกทั้ง 4 คน เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการเป็นบริษัทมหาชน ตนเองก็เห็นด้วย เพราะตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี ศิลปะศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 University of Sheffield, UK ชีวิตก็คลุกคลีอยู่ในธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส์ สาขากรุงเทพ มากว่า 16 ปี
สุดท้ายตัดใจยอมลาออกตามคำขอของพ่อ แม้เจ้านายเก่าจะยื้อไว้ก็ตาม ปัจจุบันนั่งทำงานมาแล้ว 2 ปี “ปิยจิต” ยอมรับว่า ช่วงแรกของการทำงานหนักใจ เพราะงานค่อนข้างยากไม่เคยทำมาก่อน แถมต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย แต่โชคดีที่มีทีมงานคอยให้กำลังใจตลอด
คุณพ่อวางตัวให้ลูกทำงานในหลากหลายหน้าที่ พี่ชายคนโต “ก้อง-อดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์” รับหน้าตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่ขาย และการตลาด ส่วนตัวเองดูแลเรื่องการเงิน น้องชายคนที่ 3 “นาท-อานุภาพ รักอริยะพงศ์” นั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ส่วนน้องชายคนสุดท้อง “กก-ธนรัตน์ รักอริยะพงศ์” ทำหน้าที่ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อ
ก่อนอาณาจักรจะขยายตัวเช่นทุกวันนี้ ในอดีตพ่อและแม่เคยยึดตึกแถวย่านห้วยขวาง เพื่อส่งขายคุ้กกี้ และขนมปังเนยสด ตามร้านค้าแถวหัวลำโพง และร้านค้าปลีกทั่วไป ภายใต้ชื่อร้านทรัพย์อนันต์ ก่อนจะพัฒนามาขายขนมครองแครง มะขามแก้ว และถั่วกรอบแก้ว เป็นต้น เมื่อธุรกิจเติบโตพ่อก็ย้ายธุรกิจมาอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน
จากนั้นในปี 2544 มีคนแนะนำพ่อให้ลองทำเครื่องดื่ม ท่านเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีจึงตัดสินใจจำหน่ายสินค้าตัวแรก ภายใต้ชื่อ “โมกุ โมกุ” ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ผสมวุ่นมะพร้าว ถือเป็นเจ้าแรกของโลก จากนั้นบริษัทก็ขยายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เน้นน้ำผสมเนื้อผลไม้
ช่วงแรกยอดขายดีมากมีรถมารอรับสินค้าถึงหน้าโรงงาน จากนั้นไม่นานยอดขายยิ่งดีขึ้นเมื่อพี่ชายและน้องชายคนที่ 3 เข้ามาช่วยงาน โดยเขาได้นำสินค้าของบริษัทไปขายในศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ก่อนจะมีห้างอื่นๆติดต่อขอนำสินค้าไปขายอีกจำนวนมาก
“ปิยจิต” ฉายแผนธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2557-2560) ว่า อยากเห็นยอดขาย 5,000 ล้านบาท เป้าหมายนี้เมื่อ 2 ปีก่อน ทุกคนมองเหมือนกัน ตอนนั้นบริษัทยังมียอดขายเพียง 1,000 ล้านบาท ตอนเคาะตัวเลขนี้ออกมาหลายคนมองว่า ช่างไกลความจริง แต่เมื่อธุรกิจเดินทางมาถึงวันนี้ เราเชื่อว่าทำได้แน่นอน ที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทขยายตัวปีละ 30 เปอร์เซ็นต์
SAPPE จะเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ด้วยผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่มหลัก ซึ่ง 3 กลุ่มแรกจะเป็น “ดาวเด่น” ที่จะทำให้ยอดขายเติบโต ประกอบด้วย 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ทุกคนรู้จักเราในแบรนด์ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์, เซ็ปเป้ บิวติชอท และเซนต์แอนนา อนาคตเรายังคงตอกย้ำเรื่องของแบรนด์ต่อไป โดยจะทำให้ผลิตภัณฑ์เดิมอยู่ใน ระดับพรีเมี่ยม ควบคู่ไปกับการออกสินค้าใหม่ๆ
2.ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำผลไม้ ประกอบด้วย เซ็ปเป้ ฟอร์ วัน เดย์ น้ำผักผลไม้เข้มข้น 100 เปอร์เซ็นต์ โมกุ โมกุ น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว, ชิววี่ และ โคโค่แครช น้ำผลไม้แต่งกลิ่น ผสมวุ่นมะพร้าว และเซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ น้ำผลไม้แต่งกลิ่นผสมชิ้นว่านหางจระเข้ หลักๆ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะเน้นส่งออก
3.ผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชง เพื่อสุขภาพและความงาม ภายใต้แบรนด์ เพรียว คอฟฟี่, สวิสส์การ์เดน คอฟฟี่ และสลิมฟิต คอฟฟี่ ซึ่งเป็นกาแฟควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพและ ความงาม และเพรียว คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นคลอโรฟิลล์ผงที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นที่ช่วยดีท็อกขับล้างสารพิษ
4.ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มปรุงสำเร็จพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม ภายใต้แบรนด์ เพรียว คอฟฟี่ ในรูปแบบกระป๋อง ซึ่งเป็นน้องใหม่ที่เราเพิ่งเปิดตัวตอนนี้ยังเป็นทารกอยู่
บริษัทอยากเป็นต้นแบบนำพา “แบรนด์ไทยสู่แบรนด์โลก” ในส่วนของบริษัทได้นำ “โมกุ โมกุ” ออกสู่ตลาดโลกแล้ว ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากต่างประเทศ 61 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศ 39 เปอร์เซ็นต์ อนาคตอยากมีสัดส่วน 60:40 เปอร์เซ็นต์
“ตลาดต่างประเทศมีศักยภาพการเติบโตมากกว่าตลาดในประเทศ เธอเปรียบเปรยตลาดต่างประเทศเป็นมหาสมุทร ส่วนตลาดในประเทศเป็นคลอง ฉะนั้นออกไปว่ายน้ำในมหาสมุทรย่อมได้อะไรมากกว่าว่ายน้ำในคลอง”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน ขยายความเรื่องตลาดต่างประเทศว่า ปัจจุบันบริษัทส่งออกไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งทวีปเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านคู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนนำเข้าสินค้า ผู้ค้าปลีกและร้านค้าย่อยในช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ
บริษัทมีนโยบายผลักดันแบรนด์เซ็ปเป้ และแบรนด์อื่นๆ ไปสู่ “เครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความแปลกใหม่ในด้านนวัตกรรมให้แก่วงการเครื่องดื่ม ทั้งรสชาติสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ภายใต้กระบวนการผลิต การวิจัย ช่องทางจำหน่ายหลากหลาย เพื่อรุกทำตลาดทั้งในต่างประเทศและในประเทศ
“แบรนด์เซ็ปเป้” มีความแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งด้านคุณภาพสินค้า ทำให้เครื่องดื่มแบรนด์ “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์” ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นเบอร์ 1 ของตลาดฟังก์ชันนัลดริงค์ ส่วนน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวแ บรนด์ “โมกุ โมกุ” วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก
ในช่วงเดือนม.ค.-พ.ค.2557 ตลาดฟังก์ชันนัลดริงค์สำหรับผู้หญิงมีมูลค่า 657 ล้านบาท ส่วนแบ่งทางการตลาด 39 เปอร์เซ็นต์ ตกเป็นของบริษัท ที่ผ่านมาเราอยู่อันดับหนึ่งมาตั้งแต่เข้ามาทำตลาดนี้แล้ว ฉะนั้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เรายังคงมุ่งเน้นคิดค้นและพัฒนาสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง
“จุดแข็งของบริษัท” คือ นวัตกรรมที่หลากหลาย ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์และตราสินค้าครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับแนวโน้มตลาดฟังก์ชันนัลดริงค์ของไทย ที่ผ่านมาเติบโตดีมากมาตลอด หลังมีผู้ประกอบการแข่งขันกันนำเสนอนวัตกรรม และสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น
เธอ บอกเป้าหมายรายได้ในปี 2557 ว่า อาจเติบโต 30 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนมีรายได้ 2,400 ล้านบาท เนื่องจากการส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แถมมีอัตรากำไรดีกว่าในประเทศ ล่าสุดเราได้เข้าไปร่วมทุนในประเทศอินโดนีเซียและสโลวาเกีย ด้วยการถือหุ้นในสัดส่วน 60 เปอร์เซ็นต์
ขณะเดียวกันบริษัทยังทุ่มเงินลงทุน 100 ล้านบาท เพื่อออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำ "อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม" มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ผู้ชายคนแรกของ “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" โดยกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาชิ้นนี้ คือ นักศึกษา คนวัยทำงาน อายุ 18-35 ปี คาดว่าแคมเปญนี้จะกระตุ้นให้ตลาดฟังก์ชันนัลดริงค์คึกคักมากขึ้น







