โนเบิลขายหุ้นเพิ่มทุนเสี่ยงผิดอาญา

โนเบิลขายหุ้นเพิ่มทุนเสี่ยงผิดอาญา

ผู้ถือหุ้น-ทนายความออกหน้ายันไม่ได้กลั่นแกล้งผู้บริหารโนเบิล-ไม่เอี่ยวการเมือง ชี้หากเพิ่มทุน เสี่ยงผิดอาญา

ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับผู้ถือหุ้นบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ยังคงมีประเด็นให้ติดตามต่อเนื่อง หลัง “กิตติ ธนากิจอำนวย” หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ และประธานกรรมการ บริษัทโนเบิล เปิดแถลงข่าวว่า จะยื่นหนังสือร้องหน่วยงานรัฐให้ตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัท เอบีเอ็น แอมโร นอมินี สิงคโปร์ ที่เข้ามาถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 24.06% เพราะคาดจะเป็นกลุ่มคนไทยที่ตั้งใจกลั่นแกล้ง ด้วยการส่งตัวแทนยื่นฟ้องศาลแพ่ง และศาลอาญา ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง

นายสุวัฒน์ พฤกษ์เสถียร ผู้ถือหุ้นรายย่อย และผู้รับมอบอำนาจจากเอบีเอ็น แอมโรฯ ในการยื่นฟ้องศาลแพ่งเพื่อเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น วานนี้ (7 ส.ค.) ยืนยันว่า การยื่นฟ้องทั้งทางแพ่ง และทางอาญาไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อกลั่นแกล้งใคร แต่เห็นว่ากระบวนการขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนไม่ถูกกฎหมาย หากไม่ดำเนินการอะไร อาจจะมีหลายบริษัททำตาม ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น และอาจทำให้ผู้ถือหุ้นออกไปจากตลาด และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง

ทั้งนี้การเพิ่มทุน มีประกาศของตลาดหลักทรัพย์ออกมาชัดเจนว่า ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งฝ่ายบริหารไม่ได้ดำเนินตามขั้นตอน และเร่งรีบจดทะเบียนเพิ่มทุนกับนายทะเบียน สามารถทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นแล้วเสร็จ และยื่นต่อนายทะเบียนภายในวันที่จัดประชุมผู้ถือหุ้นได้ ทั้งๆ ที่อ้างว่า กรรมการและฝ่ายบริหารไม่ได้เตรียมเรื่องการเพิ่มทุนมาก่อน แต่มาจากข้อเสนอของผู้ถือหุ้น

“ที่ออกมาพูดวันนี้ เพราะรู้สึกว่าถูกพาดพิงว่าไปกลั่นแกล้งในการฟ้องแพ่ง และอาญา เพราะผมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องทั้ง 2 คดี ส่วนที่มองว่าผมและโจทก์ที่ยื่นฟ้องเป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมานั้น ยืนยันว่าผมไม่ได้รู้จักทางเอบีเอ็น หรือ เอสทีม (ESTEEM) มาก่อน เพิ่งจะมารู้จักช่วงที่กำลังรวบรวมคนเพื่อเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ซึ่งผมรู้จักกับที่ปรึกษากฎหมายของเอบีเอ็นเอบีเอ็นก็เลยมอบอำนาจให้ในการฟ้องคดี แต่ผมไม่ได้เป็นตัวแทนเอบีเอ็นในเรื่องอื่น จึงไม่สามารถพูดหรือให้ข้อมูลแทนเขาได้”

เขากล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของเอบีเอ็น หรือเอสทีม หรือจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ และไม่สนใจ สิ่งที่ต้องรู้ คือมีอะไรที่ผิดกฎหมายหรือไม่ และเข้ามาถือหุ้นโนเบิลในสัดส่วนของนักลงทุนต่างด้าวหรือไม่ ซึ่งจากการสอบถามทางเอสทีม ก็ได้คำตอบว่าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย การซื้อขายหุ้นโนเบิล มีการรายงานทุกครั้ง อาจจะมีบางครั้งที่ล่าช้าบ้าง แต่รายงานครบ และเข้ามาถือหุ้นในส่วนของนักลงทุนต่างด้าว

การฟ้องร้องคดีครั้งนี้ มีโจทก์ร่วมฟ้อง 6 ราย โดยเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย 5 ราย และทางเอบีเอ็นฯ โดยส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อย เป็นกลุ่มนักกฎหมายซึ่งรู้จักกัน ถือหุ้นคนละ 1 พันหุ้น โดยเข้ามาถือหุ้นในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน คือในช่วงเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นเรื่องบังเอิญ เพราะปกติมีการลงทุนซื้อหุ้นอยู่แล้ว ส่วนจะมีใครมองว่าเป็นความบังเอิญมากเกินไปหรือไม่นั้น แล้วแต่การวิเคราะห์

“คดีอยู่ระหว่างศาลรอรับคำให้การของฝ่ายจำเลย ซึ่งกว่าคดีจะสิ้นสุดก็คงใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี หากการเพิ่มทุนเป็นเรื่องจำเป็นเหมือนที่อีกฝ่ายอ้าง วิธีที่เร็วคือการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อยกเลิกมติเดิม และขอมติใหม่ ใช้เวลาไม่ถึง 3-4 เดือนก็ทำได้ และหากมีเหตุผลเพิ่มทุนที่ดี ในฐานะผู้ถือหุ้นก็พร้อมรับฟัง แต่ระหว่างนี้ฝ่ายบริหารจะยืนยันดำเนินการเพิ่มทุนต่อ เท่าที่ได้ดูข้อกฎหมายมา ไม่เห็นช่องทางที่ทำได้โดยไม่มีความผิดทางอาญา”

หากจำเลยดำเนินการยกเลิกมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยส่วนตัวที่ฟ้องแพ่งถือว่าจบ เพราะตนไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหาก แต่ส่วนคดีอาญา แม้จะไม่ได้มีเจตนาเอาใครเข้าคุก แต่ต้องการให้แสดงความรับผิดชอบ สำนึกผิดและขอโทษผู้ถือหุ้นอย่างจริงใจ ก็พร้อมยกโทษให้

รายงานข่าวแจ้งว่า การยื่นฟ้องในคดีในส่วนของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายย่อยได้ยื่นฟ้องแพ่ง แต่ไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหาย ขณะที่บริษัทเอบีเอ็น ยื่นฟ้องแพ่ง พร้อมเรียกร้องค่าเสียหาย 30 ล้านบาท จากการถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น เพราะได้ใช้เงินในการลงทุนซื้อหุ้นโนเบิลมากกว่า 1 พันล้านบาท ส่วนคดีอาญา นายสุวัฒน์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแต่เพียงผู้เดียว