ผู้นำครบเครื่อง บู๊+บุ๋น 'อภิพร ภาษวัธน์'

ผู้นำครบเครื่อง บู๊+บุ๋น

'อภิพร ภาษวัธน์'

ศิลปะการดูแลคนมันต้องมีทั้งพระเดช พระคุณ มีแต่พระเดชสั่งอย่างเดียวลูกน้องก็ไม่ชอบ และต้องสร้างบารมี

ถือเป็นผู้นำที่เต็มไปด้วยสีสันมีทั้ง "บู๊" และ "บุ๋น" ในการบริหารลูกน้องเขาคนนี้มีทั้งมุมฮาร์ดคอร์ ขึ้นเข่า ลงศอก ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างบรรยากาศแห่งความเอื้ออาทร ความสนุกสนานเฮฮา ชนิดที่ไม่มีมุมใดที่โดดเด่นไปกว่ากัน

เป็นที่โจษจันกันว่า "อภิพร ภาษวัธน์" อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เคมีภัณฑ์ซีเมนต์ไทย ที่ในปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และยังมีชื่อเป็นบอร์ดของบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายบริษัทนั้น เป็นบุคคลที่ลูกน้องทั้งในอดีตและในวันเวลานี้ให้ความเคารพ รักเป็นอย่างมาก

เมื่อกรุงเทพธุรกิจได้มีโอกาสเข้าพบและสัมภาษณ์ ก็ยังมองเห็นอีกด้วยว่าผู้นำท่านนี้ยังมีฝีมือที่จัดจ้านด้านการตกแต่งสถานที่ระดับ "อินทีเรียดีไซเนอร์" เลยทีเดียว

"เพราะอยากสร้างบรรยากาศสิ่งแวดล้อมของที่ทำงานให้เป็นเหมือนบ้าน เพื่อทำให้พนักงานอยากทำงาน เกิดความคิดสร้างสรรค์" เขาบอกเหตุผล

อภิพร เป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับหลักการแห่งความ "สมดุล" ที่ให้ความสำคัญทั้งเรื่อง Hard Skill และ Soft Skill ซึ่งหมายถึงการเก่งทั้งงาน เก่งทั้งคน

ขณะที่ความท้าทายของธุรกิจยา "ชีววัตถุ" (Biotechnology Drug) ที่ถือเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยก็คือเรื่องของ "คน" ที่ยังหาได้ยาก ทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะได้มาซึ่งพนักงานในฝันที่เก่งทั้งงานเก่งทั้งคนในเวลาเดียวกัน

"ไม่ใช่ใครทุกคนที่จะฟิตกับองค์กร แต่เราต้องหาคนที่ฟิต เพราะถ้าไม่ฟิตก็จะเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย" คือมุมมองความเป็นจริงที่เขาตระหนักถึงเป็นอย่างดี

ดังนั้นที่ทำก็คือให้ทางฝ่ายบุคคลของบริษัททำหน้าที่สกรีนในเบื้องต้นดูคนฟิตหรือไม่ฟิตกับองค์กร จากนั้นอภิพรจะทำหน้าที่สัมภาษณ์ผู้สมัครงานในหมายเหตุที่ว่าผู้ที่เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปด้วยตัวเอง

"เรื่องเข้าค่ายสำคัญนะ มันช่วยทำให้คนสนิทกัน มันช่วยสร้างคอนเน็กชั่น ผมจะดูเรื่องกิจกรรมการเข้าค่ายเป็นหลัก ถ้าเป็นเด็กเรียนอย่างเดียวจะไม่ให้ผ่าน"

มีเด็กเส้นหรือไม่?

เขาบอกว่าเรื่องนี้พบเห็นกันได้ทั่วไป แม้กระทั่งองค์กรระดับชาติอย่างเอสซีจี ซึ่งได้ใช้วิธีล็อคเกรด ถ้าเด็กทำเกรดได้ไม่ถึง 2.7 ก็เป็นอันหมดสิทธิ์

"เรื่องเกรดมันช่วยเบรคเด็กเส้น ช่วยสกรีนทิ้งไปได้เยอะ องค์กรควรต้องมีหลักเกณฑ์ ต้องตั้งคณะกรรมการที่ทำงานจากหลายแผนก หลายฝ่ายมาร่วมกันสัมภาษณ์ รวมถึงองค์กรยังต้องตั้งค่ามาตรฐานและต้องสัมภาษณ์คนให้ฟิตตามมาตรฐานนั้น โดยปกติแล้วองค์กรคงหนีเด็กเส้นไม่ได้ ถ้าเป็นเส้นหมี่ก็คงพอได้ แต่ก๋วยจั๊บก็คงไม่ไหว"

และเมื่อคัดเลือกหาคนมาแล้ว ก็ค่อยๆ พาเขามาบ่มเพาะหล่อหลอมความเก่งทั้งเรื่องงานและเรื่องคนให้เก่งยิ่งขึ้น จากการทำงาน รวมไปถึงร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่ง สยามไบโอไซเอนซ์ มุ่งเน้นผลลัพธ์ในเรื่องของการทำงานเป็นทีม ความรักกันระหว่างเพื่อนพนักงานให้แบบพี่น้องเหมือนคนในครอบครัว รวมถึงความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับคน และกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

คนแบบไหนพัฒนาได้ยากที่สุด?

"คนที่ดื้อ ไม่ฟังใคร กูรู้ๆๆ ไม่รับฟังความเห็นใคร มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ซึ่งที่ดีต้องเปิดกว้าง ต้องคิดว่าตัวเราคงไม่ได้คิดหรือทำถูกเสมอไป ผมเองเวลามีลูกน้องมาบอกว่านายครับๆๆ ก็จะคอยฟัง และถ้าเขานำเสนอไอเดียที่เข้าท่าก็บอกให้ลุยไปได้เลย"

การคัดเลือก พัฒนา รักษา คน กระบวนการใดที่ยุ่งยากและท้าทาย?

"ผมว่าเป็นเรื่องการรักษา เพราะขั้นตอนการคัดคนเข้ามาก็ดูว่าเขาฟิตกับวัฒนธรรรม ค่านิยมองค์กรของเราหรือไม่ ถ้าเก่งทั้งงานเก่งทั้งคนก็รับเข้ามา แล้วพัฒนาเขาต่อ แต่การรักษาจะค่อนข้างสำคัญ เพราะระหว่างทางที่พัฒนาด้วยการเทรนเขา ส่งเขาไปดูงานเมืองนอกนั้นเราใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ท้ายสุดถ้าเขาออกไปมันหมายถึงการสูญเสียไปทั้งหมด"

โดยเฉพาะยิ่งเป็นคนที่เป็นคีย์หลักลาออกด้วยแล้ว นอกจากเสียเงินอาจถึงขั้นทำให้องค์กรต้อง "เสียศูนย์" หรืออาจเดินเซไปพักใหญ่ๆ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการรักษาจึงมีความสำคัญ

จะว่าไปแล้วอภิพร มีแต้มต่อกว่าผู้นำคนอื่นในเรื่องของการบริหารคน เพราะมีความรู้ความชำนาญทางด้าน "วัฒนธรรมองค์กร" ที่ได้ไปร่ำเรียนมาจากรั้ว "ฮาร์วาร์ด" สถาบันการศึกษาชั้นนำระดับโลก

วัฒนธรรมองค์กรอาจถูกมองเป็นนามธรรมที่จับต้องได้ยาก ทว่ามันช่วยสร้างพนักงานในฝันให้กับองค์กรได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากจะย้อนดูผลงานที่สร้างชื่อและชัดเจนที่สุดของผู้นำคนนี้ ก็คือ ดีเอ็นเอที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ขยัน เพื่อสร้างผลงานที่ดีเลิศที่มีอยู่ในตัวพนักงานทุกคน ของบริษัท เคมีภัณฑ์ซีเมนต์ไทย

อย่างไรก็ดี ความเป็นตัวตนและความสำเร็จในทุกวันนี้ อภิพรได้ยกเครดิตให้กับ โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เขาจดจำได้แม่นและนำมาใช้ในการบริหารลูกน้องก็คือ "ข้าไม่ได้สร้างพวกเจ้าเป็นเหมือนหนังสือเดินได้ แต่ต้องการสร้างเด็กวชิราวุธฯให้เป็นสุภาพบุรุษของสังคม มีความรับผิดชอบและสร้างสิ่งที่ดีให้กับสังคม"

อะไรคือเคล็ดลับ ในการนำคำสอน ทฤษฎีที่เรียนมาใช้ปฏิบัติจริง

"ศิลปะการดูแลคนมันต้องมีทั้งพระเดช พระคุณ มีแต่พระเดชสั่งอย่างเดียวลูกน้องก็ไม่ชอบ และต้องสร้างบารมีซึ่งมันต้องใช้เวลา แต่หากสร้างได้จะทำให้คนไว้ใจเชื่อใจเรา สำหรับผมที่ทำก็เช่น เวลาที่ลูกน้องทำดีก็ชมเขาต่อหน้านิดหน่อยๆ แต่ไปชมให้คนอื่นฟังว่าคนนี้ดี เดี๋ยวคำชมจะถูกบอกต่อไปจนถึงหูเขาเอง และเขาจะมีความภูมิใจ"

เชื่อหรือไม่ว่าบารมี ยังเป็นเรี่องของการไปเยี่ยมเยียนถึงบันไดบ้านอีกด้วย อภิพรบอกว่าเขาทำทุกครั้งเวลาที่เดินทางดูงานโรงงานซึ่งตั้งอยู่แถวบางใหญ่

"ผมจะไม่ไปโรงงานแค่ทำการประชุม แต่ใช้โอกาสนั้นไปดูถึงบ้านพนักงานเลย ว่าเขาอยู่กันอย่างไร บ้านเรือนสะอาดไหม เขาดูแลเมียลูกดีหรือเปล่า สอนการบ้านลูกดีหรือเปล่า และเรายังต้องมีศิลปะในการจำจดคน ทั้งชื่อเล่น ชื่อพ่อชื่อแม่ของเขา ต้องจำให้ได้ เพื่อทำให้เขาประทับใจว่าเจ้านายจำได้ หรือถ้าใครในบ้านเขาเกิดไม่สบายหรือเป็นอะไร เราก็ต้องให้ความช่วย ทุกอย่างมันคือการซื้อใจ"

อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนพนักงานที่มากมายอาจทำให้ความจำถึงขั้น "เออเร่อร์" แต่อภิพรบอกว่าโชคดีที่โลกทุกวันนี้มี "เฟซบุ๊ค" ที่ช่วยทำให้รับรู้ความเคลื่อนไหวของลูกน้องและคนคุ้นเคย

"ตอนนี้ผมก็อายุ 60 กว่าแล้ว ตอนนี้ก็ให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ลงไปทำหน้าที่ดูแลพนักงานซื้อใจพวกเขา ขณะที่ก็ต้องลงไปดูแลสังคม ชุมชนที่อยู่รอบๆ ที่เรากับเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน"

ที่สุดแล้ว เรื่องของคนนั้นสำคัญอยู่ที่ "ใจ" ซึ่งเป็นอะไรที่ใช้เงินซื้อไม่ได้เหมือนเครื่องจักรกล ถึงอย่างนั้นก็มีความจำเป็นที่ต้องซื้อให้ได้ แต่หากทำไม่ได้ธุรกิจก็ไม่วันจะสำเร็จได้เลย